คริสตศาสนายุคต่างๆ
ยุคปฐมกาล
ตามหลักความเชื่อของคริสต์ศาสนิ
กชนซึ่งมาจากพระคัมภีร์ใบเบิลและประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
คริสต์ศาสนาเริ่มต้นตั้งแต่พระเป็นเจ้าทรงรักโลกจนกระทั่งประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
คือ พระเยซูคริสต์เข้ามาไถ่มนุษย์ออกจากบาป คำว่า "เยซู" แปลว่า
พระเป็นเจ้าทรงเป็นความรอด (Yahweh is salvation)
หรือพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (Yahweh is the savior)
พระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นที่มาแห่งชีวิต คือ
ทรงเป็นพระผู้สร้างจักรวาลและชีวิตทั้งมวล
มนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้าง ได้เกิดลูกหลานต่อๆ มา
และแพร่ออกไปทั่วโลก ต่างก็ห่างเหินไปจากพระเป็นเจ้าและหลงลืมพระองค์
ชีวิตของมนุษย์คงมีความทุกข์ต่างๆ
เพราะความผิดที่มนุษย์ต่างกระทำขึ้นด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์
พระเป็นเจ้าจึงประทานพระบุตรมาเกิด (incarnation) เป็นพระเยซู
พระเป็นเจ้าจึงทรงเตรียมการเป็นขั้นตอนโดยทรงเลือกอับราฮัมชาวฮีบรู
ให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอลเพื่อเป็นผู้รับมอบพันธกิจนำพระพร
คือความรอด ไปสู่ชนทุกชาติทั่วโลก เมื่อถึงกำหนดที่ทรงวางไว้
พระบุตรเสด็จลงมาเกิดเป็นพระเยซูผู้สืบเชื้อสายของชนชาติอิสราเอลจากเชื้อสายอับราฮัมผ่านทางเดวิดจนมาถึงพระเยซู
ยุคพระเยซู
เมื่อพระเยซูมีพระชนม์มายุได้ 30 ปี
ทรงจาริกสั่งสอนในประเทศอิสราเอลเป็นเวลา 3 ปี ทรงเลือกชาวยิว 12 คน
เป็นผู้รับพันธกิจจากพระองค์ เพื่อนำพระพรไปสู่ชนทั่วโลก
พระเยซูทรงถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ที่กางเขน
เป็นการตายเพื่อชดใช้หรือไถ่มนุษย์ออกจากบาป เพื่อไถ่มนุษย์ออกจากความบาป
เพื่อมนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ
และกลับเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตามพระฉายาของพระเป็นเจ้า
และจะกลับคืนดีและมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องต้อพระเป็นเจ้า ในวันที่ 3
พระเป็นเจ้าทรงทำให้พระเยซูกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือทรงกลับคืนชีพ
หลังจากที่ปรากฏแก่เหล่าสาวก
และทรงมอบพันธกิจแก่เหล่าสาวกแล้วเสด็จสู่สวรรค์
คำภาษาอังกฤษ Resurrection ทางคาทอลิก ใช้คำว่า "การกลับคืนชีพ"
ส่วนทางฝ่ายโปรแตสแตนท์ ใช้คำว่า "การเป็นขึ้นมาจากความตาย"
ยุคคริสตจักรเริ่มแรก
ในวันเทศกาลเพนเทคอสต์ (the day of Pentecost) ซึ่งตรงกับวันที่ 50
หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เวลา 09.00 น.
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าได้เสด็จลงมายังบรรดาศิษย์ของพระองค์
ทรงเปลี่ยนให้ทุกคนเป็นคนใหม่
เปี่ยมด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องพันธกิจที่พระเยซูทรงสละพระชนม์เพื่อเป็นพระพรแก่มนุษย์
ทุกคนจึงมีใจร้อนรนกล้าหาญที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่พระเยซูทรงไถ่มนุษย์ด้วยการสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนกางเขน
ในวันนั้นมีผู้เชื่อและยอมรับพระเยซูเป็นผู้ไถ่เขาออกจากบาปถึง 3,000 คน
คริสต์ศาสนิกชนจึงถือว่าวันนี้คือวันเกิดของคริสตจักร
แผนการไถ่มนุษย์จากบาป และปลดปล่อยให้เป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพ
เพื่อจะสามารถกลับคืนดีเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและมีความสัมพันธ์อันถูกต้องกับพระเป็นเจ้านั้น
พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว
การตายของพระเยซูเป็นการไถ่มนุษย์ออกจากบาปแล้ว
จึงเหลืองานที่จะทำต่อไปคือการนำข่าวประเสริฐนี้ไปประกาศให้โลกรู้
พระเยซูทรงสั่งให้สาวกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับที่พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัมและชนชาติอิสราเอลให้เป็นผู้นำพระพรไปสู่ชนทุกชาติ
อัครสาวกทั้ง 12 คน ได้ประกาศข่าวดีนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม
ซึ่งมีทั้งชาวเยรูซาเล็มเอง และชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ
และได้กลับมาประเทศอิสราเอล เพื่อนมัสการในเทศกาลเพนเทคอสต์
หลังจากเทศกาลนั้นเมื่อคนเหล่านั้นเดินทางกลับประเทศที่ตนอยู่ก็ได้นำข่าวดีนั้นไปประกาศด้วย
ส่วนอัครสาวกก็ไปประกาศในที่ต่างๆ เช่น ฟิลิปไปประกาศแก่ชาวเอธิโอเปีย
โทมัสไปประกาศถึงประเทศอินเดีย ยาคอบไปประกาศที่สเปน
เปโตรไปประกาศถึงกรุงโรม เปาโลและบารนาบัสไปประกาศที่เอเชียน้อย
ประเทศกรีช และกรุงโรม อัครสาวกและสาวกคนอื่นๆ ก็ไปประกาศในที่ต่างๆ
ข่าวดีนี้จึงแพร่ไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
แต่การประกาศข่าวดีนี้ไม่ใช่เป็นการง่าย ในระยะ 3
คริสต์ศตวรรษแรกต้องประสบแต่การข่มเหง การขัดขวาง
ผู้ที่ไปประกาศและผู้ที่รับข่าวดีก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากและถูกฆ่าตายไม่น้อย
แต่ข่าวดีนี้ก็มิได้หยุดยั้งชะงักลง มีแต่การแพร่ออกไปจนกระทั่ง ค.ศ. 313
จักรพรรดิคอนสแตนตินประกาศกฤษฏีกาที่เมืองมิลานให้ทุกคนมีเสรภาพในการนับถือคริสต์ศาสนาได้
ในตอนปลายของศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิเทโอโดซิอุสมหาราช ค.ศ. 379-395
ทรงกระทำให้จักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิของคริสต์ศาสนาในสมัยนี้
คริสตจักรจึงรุ่งเรือง การก่อสร้างโบสถ์วิหารมีไปทั่วทุกแห่ง
สมัยนั้นคริสตจักรมีศูนย์กลางที่สำคัญ 5 แห่ง คือ
เมืองอะเล็กซานเดรียในอียิปต์ กรุงเยรูซาเล็ม เมืองแอนดิออก
กรุงคอนสแตนติโนเปิล และกรุงโรม ศูนย์กลางแต่ละแห่งมีผู้อภิบาลเรียกว่า
อัครบิดร (papa หรือ partriarch)
ยุคมืด
คริสต์ศตวรรษที่ 5-11 ตามประวัติศาสตร์คริสตจักร เรียกว่า ยุคมืด
เริ่มจากประเทศต่างๆ
ในยุโรปถูกรุกรานโดยที่ฝ่ายบ้านเมืองไม่สามารถต่อต้านได้
แต่ต่อมาฝ่ายคริสตจักรตะวันตกโดยการนำของสันตะปาปาลีโอที่ 1
ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นอัครบิดรแห่งโรมด้วย
สามารถควบคุมสถานการณ์ในกรุงโรมและบริเวณใกล้เคียงได้
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีอำนาจของคริสตจักรโรม
และมีอิทธิพลครอบคลุมไปถึงแอฟริกาตอนเหนือ สเปน และกอล (ฝรั่งเศล
และเยอรมนีในปัจจุบัน)
และต่อมาก็ยังมีอัครบิดรบางสมัยที่พยายามขยายอิทธิพลออกไปอีก
ด้วยการชักชวนให้ผู้รุกรานตั้งหลักแหล่งและเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน
โดยยินยอมให้อัครบิดรแห่งโรมในฐานะสันตะปาปามีสิทธิแต่งตั้งกษัตริย์
หรืออนุมัติการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ด้วย
คริสตจักรตะวันออกสูญเสียศาสนิกชนให้แก่อิสลามตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7
ทำให้คริสต์ศาสนิกชนที่เหลือในแถบนี้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยไป
แต่การประกาศข่าวดีในที่อื่นก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป และมีคนจากประเทศอื่นๆ
เช่นรัสเซีย เข้ามานับถือคริสตศาสนาในช่วงนี้ด้วย
คริสตจักรซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่แรกก็แยกออกเป็นคริสตจักรตะวันออกและคริสตจักรตะวันตก
ใน ค.ศ. 1054 เนื่องด้วยสาเหตุการเมืองและอื่นๆ อีกหลายประการ
อันเป็นผลให้อัครบิดาของ 2 ฝ่าย ไม่อาจออมชอมกันได้
คริสตจักรตะวันตกจึงกลายเป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ซึ่งมีศูนย์กลางเริ่มแรกที่กรุงโรม และคริสตจักรตะวันออกได้ชื่อว่า
คริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ซึ่งมีศูนย์กลางเริ่มแรกที่จักรวรรดิไบแซนไทน์
(นครอิสตันบูลประเทศตุรกีในปัจจุบัน)
ยุคฟื้นฟู
ระหว่างสงครามครูเสด
ปัญญาชนชาวคริสต์ได้เรียนรู้และได้รับเอกสารมากมายเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมกรีกจากชาวมุสลิม
การศึกษาอย่างเป็นระบบเริ่มในวังของจักรพรรดิ์ชาร์เลอมาญ (Charlemagne)
เป็นปฐม แล้วขยายออกไปสู่โบสถ์ต่างๆ
ภาษาละตินกลายเป็นภาษาสากลทางวิชาการและศาสนา
ใช้คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลเป็นภาษาละตินของเซนต์เยโรม (St. Jerome)
เป็นมาตรฐาน จนได้ชื่อว่าคัมภีร์ฉบับประชาชน (Vulgate Bible)
การเรียนหนังสือในสมัยนั้น
จึงหมายถึงการเรียนภาษาละตินและเรียนวิชาการต่างๆ ด้วยภาษาละตินนั่นเอง
และวิชาการส่วนมากก็ได้หลักการและพื้นฐานมาจากต้นฉบับภาษากรีกที่แปลเป็นภาษาละตินเช่นกัน
ยุคปฏิรูป
เมื่อการศึกษาศิลปวิทยาการกรีกขยายวงกว้างออกไป
มีการวิจัยค้นคว้าลึกซึ้งมากขึ้น และสร้างผลงานออกมาได้แนบเนียนมากขึ้น
การปฏิรูปในด้านต่างๆ ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและขยายตัวออกไป
รวมทั้งการปฏิรูปทางศาสนาด้วย
เนื่องจากมีผู้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศล เยอรมัน
นอกจากจะเป็นต้นกำเนิดของความรู้สึกชาตินิยมแล้วยังทำให้ผู้ศึกษาคัมภีร์มีความรู้ความเข้าใจใหม่
การปฏิรูปนี้จึงมิได้เริ่มแห่งเดียวและมิใช่โดยผู้นำคนเดียว
แต่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ เช่น จอห์น ไวคลิฟฟ์ (John Wycliffe)
ชาวอังกฤษ ค.ศ. 1324-1384 จอห์น ฮัลส์ (John Huss) ชาวเซ็ก ค.ศ.
1369-1415 มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther) ชาวเยอรมัน ค.ศ. 1483-1546
อุลริช ชวิงลี (Ulrich Zwingli) บางแห่งใช้ว่า Huldreich Zwingli ชาวสวิส
ค.ศ. 1484-1531 จอห์น คาลวิน (John Calvin) ชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1509-1564
เนื่องจากองค์การบริหารของคริสตจักรของโรมันคาทอลิก ณ กรุงโรม
ยึดติดกับความคิดของตนอย่างเหนียวแน่น
จนเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสมาชิกบางกลุ่มในบางประเทศ
ที่เห็นความจำเป็นต้องปฏิรูปอย่างรีบด่วน
คริสตจักรโปรแตสแตนท์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1529
ส่วนภายในคริสตจักรคาทอลิกก็มีการปฏิรูปในหลายรูปแบบแต่ยังคงถือนโยบายเน้นเอกภาพในความเหมือนกันและการรวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลางต่อไป
จนถึงการสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2
ตั้งแต่นั้นมา คริสต์ศาสนาก็แบ่งเป็นนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก
ออร์ทอดอกซ์ และโปรแตสแตนท์
ต่างฝ่ายต่างพัฒนากิจการของตนอย่างอิสระและต่างก็มีสมาชิกแผ่กระจายออกไปในประเทศต่างๆ
ทั่วโลก ความสำนึกว่าคริสตจักรต้องเป็นหนึ่งเดียว
มีปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่หลายแห่งด้วยกัน
และหลังจากนั้นก็ได้มีการประกาศย้ำเป็นทางการใน
คริสตจักรหลายครั้งว่า คริสตจักรต้องเป็นหนึ่งเดียว (one) และ สากล
(catholic) อย่างเช่นประกาศหลักข้อเชื่อของอัครสาวก (Apostles's Creed)
และหลักข้อเชื่อไนซีน (Nicene Creed)
ความเชื่อนี้ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นเมื่อโปรแตสแตนท์กลุ่มต่างๆ
และออร์ทอดอกซ์รวมตัวกันเป็นหน่วยงาน
เรียกว่าคณะกรรมการกลางหลักความเชื่อและระบบการปกครอง (Commission on
Faith and Order) เมื่อ ค.ศ. 1927
และต่อมามีการรวมตัวเป็นสภาคริสตจักรแห่งโลก (World Council of Churches)
เมื่อ ค.ศ. 1948
ส่วนคริสตจักรคาทอลิกได้จัดประชุมสังคายานาวาติกันครั้งที่ 2 ระหว่าง
ค.ศ. 1962-1965 โดยเชิญผู้แทนจากคริสตจักรโปรแตสแตนท์และออร์ทอดอกซ์เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ด้วย
และได้เปลี่ยนนโยบายรวมศูนย์มาเป็นการเน้นเอกลักษณ์ท้องถิ่น
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนที่สำคัญมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ในที่สุดคาทอลิกส่งผู้แทนเข้าประชุมสภาคริสตจักรแห่งโลกเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1993 ในปัจจุบันการติดต่อและร่วมมือระหว่างคริสตจักร กลุ่มต่างๆ
เกิดบ่อยขึ้นและกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยถือหลักการร่วมกันว่า
"ให้ร่วมมือกันโดยไม่ต้องเชื่อและถือเหมือนกัน"
และให้เข้าใจว่าความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักร หมายความถึง
"เอกภาพในความหลากหลาย"
( แหล่งข้อมูล: พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ – ไทย
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2542 หน้า 83 – 88 )
http://sites.google.com/site/sinchaisite/
บทที่ี 10 อิสราเอลสมัยกรีกเรืองอำนาจ
16 ปีที่ผ่านมา