วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

BOEING 767 AIR CANADA INVESTIGATION

ตอนบ่ายของวันที่ 22 มิถุนายน 1983 เครื่องบิน Boeing 767-200 ของสายการบิน Air Canada เที่ยวบินที่ 143 พร้อมด้วยนักบิน2นาย ลูกเรือ6นายและผู้โดยสาร 61 คนทะยานขึ้นจากสนามบินนานานชาติเมืองออตตาวาเพื่อมุ่งสู่สนามบินปลายทางที่ เมืองเอ็ดมันตัน ในการบินช่วงแรกของเครื่องบินพานิชย์ขนาดใหญ่เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนอย่าง Boeing 767เป็นไปด้วยความราบรื่นและไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆทั้งสิ้น


ที่ระดับความสูงหรือเพดานบินปกติ 41,000 ฟุต นักบินที่1Robert Pearson และนักบินที่2 Maurice Quintal เพิ่งจะรับประทานอาหารเสร็จ ไฟเตือนของระบบแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงก็ติดขึ้นในระหว่างที่บินอยู่เหนือ ทะเลสาบเรดเลค ออนทาริโอ ตามมาด้วยสัญญาณระบบแจ้งเตือนกำลังของเครื่องยนต์ด้านซ้ายที่ส่งเสียงปิ้บ สั้นๆ 4 ครั้ง เพื่อแจ้งเตือนให้นักบินรับทราบปัญหาของแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง นักบินที่ 1 กัปตัน Pearson หันไปพูดกับนักบินที่2 ว่าระบบแรงดันในถังน้ำมันที่ปีกซ้ายไม่ทำงานเพราะอาจเกิดปัญหาขัดข้องจาก คอมพิวเตอร์ แต่ระบบควบคุมการบินยังแสดงให้เห็นว่ายังคงมีเชื้อเพลิงอยู่ในถังที่ปีกขวา มากพอที่จะบินไปถึงจุดหมายที่เอ็ดมันตัน หลังจากนั้นไม่นานนักไฟแจ้งเตือนแรงดันของเชื้อเพลิงที่ปีกขวาก็ติดขึ้นมา อีก กัปตันPearsonรับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแล้วและตัดสินใจทันที ที่จะหาสนามบินที่ใกล้ที่สุดเพื่อลงจอด กัปตัน Pearson จึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่วินนีเปคซึ่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่กำลังบินอยู่และ วิทยุแจ้งเหตุฉุกเฉินขอให้เจ้าหน้าที่ควบุคมการจราจรทางอากาศของวินนีเปค เปิดเส้นทางการบินและแจ้งเตือนเครื่องบินทุกลำที่อยู่ในบริเวณนั้นให้รับ ทราบการเปลี่ยนทิศทางของ Boeing 767 เที่ยวบินที่ 143


นกบินทั้งสอง นายทำการลดระดับความสูงลงมาที่ 28,000 ฟุต แล้วสักครู่หนึ่งเครื่องยนต์ที่ปีกซ้ายก็หยุดทำงาน กัปตัน Pearsonจึงรีบถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังที่ปีกขวาโดยที่ยังคงคิดว่าปั้ม เชื้อเพลิงอาจทำงานผิดปกติและเริ่มปรึกษากับ Maurice Quintal นักบินที่2 ในการที่จะนำเจ้านกยักษ์ 767 ร่อนลงด้วยเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียว พร้อมกับวิทยุแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ควบคุมของศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศที่ วินนีเปคขอทราบทิศทางและระยะทางของสนามบินรอบๆวินนีเปคที่ใกล้ที่สุดเพื่อนำ เครื่องลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันนั้นเองไฟเตือนแรงดันของน้ำมันเชื้อเพลิงในปีกขวาก็ติดขึ้น พร้อมกับสัญญาณแจ้งเตือนการทำงานของเครื่องยนต์ที่ปีกขวาก็ดังขึ้นติดๆกัน นักบินทั้งสองนายต่างสับสนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกไม่นานนักในระหว่าง Boeing 767 เที่ยวบินที่ 143 กำลังบินอยู่ในระดับความสูงที่ 28,000 ฟุต เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนของบริษัทแพรทแอนด์วิทนีย์ตัวที่ 2 ใต้ปีกขวาก็หยุดทำงานลง


เวลา01.21 GMT เครื่อง Boeing 767-200 รุ่นใหม่ล่าสุดก็กลายเป็นเครื่องร่อนขนาดยักษ์หนัก 132 ตัน ซึ่งกำลังบินร่อนไปในอากาศด้วยความเงียบ ระบบกำลังไฟฟ้าสำรองหรือ APU ที่ออกแบบมาให้ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าและแรงดันของระบบไฮดรอลิคก็ล้มเหลวลง เนื่องจากตัวมันเองก็ต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังน้ำมันในการทำงานเหมือน กัน หน้าปัดท์และเครื่องวัดประกอบการบิน( Glass Cockpit)ที่เป็นระบบดิจิตอลอันทันสมัยและต้องใช้กระแสไฟในการทำงานภายในห้อง นักบินดับลงทั้งหมด กัปตัน Robert Pearson และนักบินที่ 2 Maurice Quintal คงเหลือแต่เพียงวิทยุสำรองที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่และเครื่องวัดบางอย่างที่ ใช้ระบบกลไกในการวัดโดยไม่มีเครื่องวัดอัตราการร่อน ความดันของระบบไฮดรอลิคลดลงอย่างรวดเร็วและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะนำ เครื่องร่อนลงจอดโดยปลอดภัย การบินด้วยการร่อนกระทำได้ด้วยอุปกรณ์ชนิดหนึ่งซึ่งจะทำหน้าที่ทันทีที่ เครื่องยนต์ดับนั่นก็คือ Ram Air Turbine หรือ RAT

RAT คือลูกสูบไฮดรอลิคที่ทำงานด้วยแรงหมุนจากใบพัดในขณะที่กระแสลมไหลผ่านและติด ตั้งอยู่ในตำแหน่งใต้ท้องเครื่อง การทำงานของแกนใบพัดในระบบ Ram Air Turbine จะเริ่มกางออกทันทีที่เครื่องยนต์หยุดทำงานในระหว่างที่กำลังทำการบินเพื่อ ช่วยให้ระบบไฮดรอลิคในบางส่วนที่สำคัญยังคงทำงานต่อไปและมีกำลังเพียงพอที่ จะขยับส่วนพื้นผิวบังคับที่สำคัญในการควบคุมท่าทางการบินเพื่อให้เครื่องบิน ยังคงสามารถบินร่อนต่อไปได้โดยไม่มีเครื่องยนต์ ใบพัดขนาดเล็กที่ติดอยู่กับแกนใต้ท้องเครื่อง Boeing 767 ทำงานด้วยการหมุนจากกระแสลมที่เข้ามาปะทะกับใบพัดขนาดเล็กเพื่อปั่นกระแสไฟ และจ่ายให้กับระบบไฮดรอลิคที่สำคัญในการบังคับควบคุมทิศทางและความสูงจะเป็น อุปรณ์ช่วยเหลือด่านสุดท้ายของเครื่องบินขณะที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน กัปตัน Pearson เริ่มบังคับให้เครื่อง 767 ทำมุมร่อนส่วนนักบินที่ 2 Quintal ก็ยุ่งอยู่กับคู่มือการปฏิบัติเมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงานทั้งสองเครื่อง เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินของวินนีเปควิทยุแจ้งกลับมาให้คำแนะนำถึงจุดสำรอง ที่จะใช้ลงจอด จอของระบบทวนสัญญาณเรดาห์ทรานสปอนเดอร์ Boeing 767 มืดสนิททำให้เจ้าหน้าควบคุมทางอากาศที่ไม่สามารถทราบตำแหน่งที่แท้จริงของ Boeing 767 ได้เลยเนื่องจากระบบไฟฟ้าของเครื่องบินทั้งหมดหยุดทำงานลง เที่ยวบินที่ 143 จึงทำได้แต่เพียงวิทยุถามและใช้ไม้บรรทัดวัดแผนที่เพื่อหาตำแหน่งของเครื่องบินเพื่อจะนำพามันกลับมาลงจอด

กัปตัน Pearson ลดความเร็วของตัวเครื่องลงมาที่ 220 น็อต ซึ่งเป็นความเร็วมาตรฐานตามคู่มือของบริษัท Boeing โดยไม่มีการกล่าวถึงอัตราการร่อนและมุมที่ต่ำที่สุดในคู่มือเนื่องจาก Boeing ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะให้นักบินทำการบินในลักษณะร่อนโดยไม่มีเครื่องยนต์ซึ่ง อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับเครื่องที่หนักถึง 132 ตันได้ ในขณะที่ใบพัดดูดอากาศของเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนที่ยังคงหมุนอยู่จากแรงของ กระแสอากาศที่บินผ่านทำให้เกิดแรงต้านอย่างหนักและก่อให้เกิดอัตราการเสีย ระยะความสูงหรืออัตราล่วงหล่นที่ 2000-2500 ฟุตต่อนาที นักบินที่ 2 Maurice Quintal เริ่มทำการคำนวนมุมร่อนและทิศทางตลอดจนความสูงที่สัมพันธ์กับตัวเครื่อง 767ว่าจะสามารถบินให้ถึงวินนีเปคได้หรือไม่ เครื่องบิน Boeing 767 เริ่มเสียระยะสูงไปแล้ว 5000 ฟุตกับระยะทาง 10 นอติคอลไมล์(1 นอติคอลไมล์เท่ากับ 2ไมล์)ซึ่งก็คือค่าอัตราการร่อนที่ 11:1 หลังจากช่วยกันคำนวนระยะทางและความสูงของเครื่อง 767 แล้วก็พบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาเครื่องไปถึงยังจุดหมายที่สนามบินวิน นีเปคเพ่ือทำการร่อนลงฉุกเฉิน

ในแผนที่ยังคงมีสนามบินเล็กๆที่มีชื่อ ว่ากิมลิ(Gimli) ซึ่งเป็นสนามบินของกองทัพอากาศแคนนาดาที่เลิกใช้ไปแล้วและอยู่ห่างไปเพียง 12 ไมล์ สนามบินดังกล่าวนี้ไม่มีปรากฏอยู่ในคู่มือการบินที่ทำขึ้นโดย Air Canada แต่นักบินที่ 2 Maurice Quintal คุ้นเคยกับสนามบินเล็กๆแห่งนี้เป็นอย่างดีเนื่องจากเมื่อครั้งยังเป็นนักบิน ประจำการอยู่ในกองทัพอากาศของแคนนาดา แต่ที่ Quintal และเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินของวินนีเปคไม่ทราบก็คือทางวิ่ง 32 ทางด้านซ้ายมือของสนามบินกิมลิที่มีแค่สองทางวิ่งยกเลิกการใช้งานไปนานแล้ว และกลายมาเป็นสนามแข่งรถซึ่งมีการติดตั้งรั้วเหล็กตรงบริเวณส่วนท้ายของสนาม บินทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยการแบ่งรันเวย์ออกเป็นเส้นทางแข่งรถระยะสั้น แบบควอเตอร์ไมล์ และมันก็คือเส้นทางที่กัปตันและนักบินผู้ช่วยซึ่งกำลังประคองเครื่องBoeing 767เพื่อที่จะร่อนลงในตำแหน่งนั้นพอดี และในวันเกิดเหตุกลับกลายเป็นวันครอบครัวของสโมสรรถสปอร์ตวินนีเปค ภายในสนามบินเก่าของกิมลิเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่มาร่วมงาน รอบๆสนามบินมีรถแข่งและรถบ้านจอดอยู่เป็นจำนวนมาก ครอบครัวที่พากันไปตั้งแคมป์รวมถึงเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณนั้น การนำเครื่องบินลงจอดท่ามกลางสิ่งกีดขวางเหล่านั้นคือหายนะอย่างแท้จริงที่ กำลังจะเกิดขึ้น

กัปตัน Pearson และนักบินที่2 Quintal ปรับทิศทางของหัวเครื่อง 767 ไปยังสนามบินกิมลิอย่างไม่มีทางเลือก และต้องทำการบินร่อนในมุมที่ชันกว่าปกติต่อไปเพื่อรักษาความเร็ว เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของวินนีเปควิทยุถามถึงจำนวนผู้โดยสาร ที่มากับเครื่อง 767 อย่างตื่นตระหนก เมื่อเครื่องบิน Boeing 767 เที่ยวบินที่ 143 เข้าใกล้สนามบินกิมลินักบินทั้งสองนายเริ่มจะพบว่าระบบสำรองฉุกเฉินของ RAT (Ram Air Turbine)ไม่มีระบบแรงดันไฮดรอลิคเพียงพอที่จะทำให้เกียร์ลงจอดทำงาน(เกียร์ ลงจอดของเครื่องบินคือระบบกางฐานล้อทั้งหมด) กัปตัน Pearson ต้องอาศัยแรงดึงดูดของโลก(Gravity Drop)ช่วยในการกางฐานล้อ ในขณะที่นักบินที่1กำลังสาระวนกับการเปิดสมุคคู่มือการบินของ Boeing 767 นักบินที่2 Quintal กลับบอกให้โยนมันทิ้งไปและกดปุ่มล็อคฐานล้อทั้งหมด

นักบินทั้งสองนายได้ยินเสียงล้อหลังเข้าที่ แต่ไฟแจ้งเตือนที่ฐานล้อหน้ากลับไม่ติดซึ่งแสดงว่ามันแค่ถูกทำให้กางออกแต่ ไม่อยู่ในตำแหน่งล็อค ฐานล้อหน้าที่กางออกเองตามแรงดึงดูดต้องทวนกับกระแสลมที่เข้ามาปะทะและไม่ สามารถกางออกจนเข้าสู่ตำแหน่งล็อคได้เลย

ระยะทางจากตัวเครื่องถึง สนามบินเหลืออีกเพียง 6ไมล์ กัปตัน Pearson เริ่มทำการเลี้ยวเข้าสู่ตำแหน่งสุดท้ายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสนามบินของกอง ทัพ โดยทำการแพ่งมองไปที่ความเร็วของตัวเครื่องและพบว่าเครื่อง 767 อยู่ในมุมบินและความเร็วของเครื่องบินที่สูงเกินไป จึงทำการปรับความเร็ว ให้ลดลงจนมาอยู่ที่ 180 น็อต เนื่องจากไม่มีเบรคอากาศ( Speed Brakes)จึงต้องใช้ส่วนของพื้นผิวบังคับสวนทางกันและบินร่อนด้วยมุมที่ผิด ปกติเป็นอย่างยิ่งเพื่อแฉลบให้ตัวเครื่องอยู่ในมุม ทิศทางและความสูงที่ถูกต้อง ผู้โดยสารบางคนของเครื่อง 767 Air canada หวีดร้องอย่างตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าเครื่องบินทำมุมบินชันจนหน้าต่างด้าน หนึ่งจะเห็นแต่ท้องฟ้าและอีกด้านจะเห็นแฟร์เวย์ของสนามกอล์ฟอย่างชัดเจน ปีกซ้ายของเครื่องบิน 767 เอียงกระเท่จนแทบจะทำมุมตั้งตรงกับพื้นดินเลยทีเดียว และเกิดปัญหาตามมาติดๆนั่นก็คือระบบ RAT (Ram Air Turbine) ลักษณะการบินด้วยท่าทางที่ผิดแปลกไปจากการบินระดับทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับ ใบพัดของ RAT เนื่องจากใบพัดหมุนไม่เต็มจำนวนรอบและหมุนช้าลงจากมุมบินที่เกิดขึ้นทำให้ ระบบไฮดรอลิคที่เกิดจาการทำงานของ RAT ลดแรงดันลงและไม่มีกำลังพอที่จะช่วยให้แฟลปอยู่ในตำแหน่งที่เปิดได้เลย

เนื่องจาก สนามบินกิมลิไม่มีหอบังคับการบินจากการยกเลิกการใช้งานไปนานแล้ว กัปตัน Pearson และนักบินผู้ช่วย Quintal ต้องมองด้วยสายตาของตัวเอง Boeing 767 บินเงยหัวเข้าสู่รันเวย์หมายเลข 32 อย่างเงียบเชียบ หลังจากปรับทิศทางและประคองจนแน่ใจว่ามันอยู่ในมุมที่ถูกต้องกัปตัน Pearsonจึงค่อยๆลดความเร็วของตัวเครื่องลงอีก ล้อหลังของ767 แตะพื้นรันเวย์เสียงดังสนั่น ผู้คนในบริเวณรันเวย์ 32 ต่างแตกตื่นวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างชุลมุน นักบินทั้งสองทำการเหยียบเบรคอย่างเต็มกำลังทันทีที่ล้อหน้ากระทบพื้น รันเวย์ และมีเสียงระเบิดดังสนั่นเมื่อยางล้อหน้าทั้งสองเส้นของเครื่อง 767 ระเบิดออกเป็นชิ้นๆเนื่องจากแรงกระแทก ฐานล้อส่วนหัวเครื่องที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งล็อคพับกลับเข้าสู่ตัวเครื่องจน ทำให้หัวเครื่องบินกระแทกและครูดกับรันเวย์จนเกิดประกายไฟเป็นทางยาว เครื่องยนต์ด้านขวาชนและครูดไปกับพื้นรันเวย์โดยมีผู้คนจำนวนไม่น้อยวิ่งหลบ หลีกอยู่ด้านหน้า Boeing 767 เที่ยวบินที่ 143 หยุดลงในลักษณะหัวทิ่มพื้นท้ายโด่งขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่มีส่วนใดๆของลำตัวและ ปีกหลุดออกจากตัวเครื่อง ปีกขวาที่มีเครื่องยนต์อยู่ห่างจากวงบาร์บีคิวที่เต็มไปด้วยเด็กเล็กๆและผู้ ปกครองเพียง 100 ฟุตเท่านั้น ชั่วขณะหนึ่งหลังจากมีแต่ความเงียบก็มีเสียงตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจและเสียง ตบมือดังขึ้นอย่างกึกก้องจากห้องโดยสารของเที่ยวบินที่ 143 พนักงานต้อนรับทัั้ง6 คนรีบทำการเคลื่อนย้่ายผู้โดยสารทั้งหมดออกจากตัวเครื่องด้วยประตูทางออก ฉุกเฉินแต่การสไลด์ของประตูหลังที่เกือบจะตั้งฉากกับพื้นดินเนื่องจากท้าย เครื่องโด่งขึ้นทำให้การนำผู้โดยสารออกทางประตูหลังแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งหมดจึงต้องออกทางประตูหน้าบริเวณหัวเครื่องที่อยู่ในลักษณะเอาหัวทิ่มลง แทน

จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 61 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการลงจอดฉุกเฉินเพียงคนเดียวซึ่งก็เกิดขึ้นหลัง จากเครื่องบินหยุดสนิทแล้วเนื่องจากกระโดดออกจากประตูทางด้านหลังและตก กระแทกกับผิวยางแอสฟัลท์ของรันเวย์ทำให้มีอาการฟกช้ำเพียงเล็กน้อย หัวเครื่อง 767 ที่ครูดไปกับพื้นทำให้เกิดประกายไฟและเพลิงลุกไหม้ขึ้นที่ส่วนหัวแต่ก็ดับลง อย่างรวดเร็วจากการช่วยเหลือของผู้คนในรันเวย์ที่ใช้ถังดับเพลิงของรถแข่ง วิ่งเข้ามาช่วยกันดับ กัปตัน Pearson นำเครื่องมาลงจอดที่ตำแหน่ง 800 ฟุตจากหัวทางวิ่งและใช้ระยะทางในการวิ่งเพียง 3000 ฟุตเพื่อทำให้เครื่องบินหยุดบนทางวิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ บรรดานักขับรถแข่งและเจ้าหน้าที่บนสนามบินกิมลิต่างเฝ้ามองการร่อนลงจอดใน ครั้งนี้ด้วยความหวาดเสียวและแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเองว่าเครื่องBoeing 767 แทบจะไม่ได้รับความเสียหายเท่าใดนัก หลังจากนั้นอีกสองวันต่อมา Boeing 767 Air canada เที่ยวบินที่ 143 หมายเลขทะเบียน 604 ก็ถูกซ่อมให้พอบินขึ้นได้จากสนามบินกิมลิโดยเสียค่าใช้จ่ายไปประมาณ 1ล้านเหรียญในการเปลี่ยนล้อหัว และซ่อมพื้นผิวของลำตัวบางแห่ง เปลี่ยนสายไฟและยางที่ระเบิดหลังจากนั้นก็กลับเข้าสู่สายการบินและเริ่ม ทำการบินให้บริการได้อีกครั้งจนถึงทุกวันนี้


ปัญหาที่เกือบจะทำให้ เกิดโศกนาฎกรรมในการบินของแคนนาดาครั้งนี้เกิดจากการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ตัวเครื่องจอดอยู่ในหลุมจอดของสนามบินในมอนทรีออล คอมพิวเตอร์ที่ควบคุมข้อมูลของจำนวนเชื้อเพลิงหรือ Fuel Quantity Information Management System Processor ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเติมเชื้อเพลิงของ Boeing 767 ระบบที่ว่านี้จะควบคุมการสูบเชื้อเพลิงและการทำงานของเครื่องวัดเชื้อเพลิง ทุกตัว เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินที่คอยเติมน้ำมันเพียงแต่เอาท่อเชื้อเพลิงเข้ามาสวม และทำการใส่ตัวเลขจำนวนของเชื้อเพลิงที่ต้องการเข้าไป แต่เกิดความผิดพลาดจากตัวส่งสัญญาณที่เชื่อมต่อกันไว้ไม่ดีทำให้เครื่องวัด ระดับน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานผิดพลาดโดยแจ้งค่าที่นักบินสั่งให้ทำการเติม เชื้อเพลิงตามตัวเลขที่ได้รับ แต่จำนวนของน้ำมันที่เติมเข้าไปไม่เพียงพอต่อการบินไปถึงยังจุดหมาย เนื่องจากการเชื่อมต่อของตัวส่งสัญญาณทำงานผิดพลาดอย่างร้ายแรงทำให้การแจ้ง ค่าที่แท้จริงไม่ถูกต้องและเกือบจะทำให้
นักบิน ลูกเรือและผู้โดยสารของเที่ยวบินที่ 143 พบกับจุดจบ

นักบิน ทั้งสองนายได้รับคำชมเชยจากบริษัท Boeing และสถาบันการบินพานิชย์ทั่วโลก ทั้งสองต่างยกย่องซึ่งกันและกันในการบังคับควบคุมและตัดสินใจนำเครื่องร่อน ลงจอดโดยปลอดภัย ทั้งยังได้รับเชิญไปบรรยายในสถานที่ต่างๆทั่วทวีปอเมริกาเหนือ กัปตัน Robert Pearson ทำการบินกับAir canada จนเกษียณอายุการทำงานและหันมาบินเครื่องร่อนแบบ Barnic L13 ในวันหยุดเพื่อรำลึกถึงอดีตในการบินร่อนที่ยิ่งใหญ่ ส่วนนักบินที่ 2 Maurice Quintal กลายเป็นนักบินที่1 ขึ้นทำการบินกับเครื่อง Airbus A-320 ของAir Canada และไม่นานนักก็เปล่ี่ยนแบบของเครื่องบินมาบินกับเครื่อง Boeing 767 โดยการนั่งอยู่ในตำแหน่งของนักบินที่หนึ่งแทนที่กัปตัน Robert Pearson อย่างภาคภูมิใจ

เอกสารอ้างอิง
Soaring Magazine
Tango Magazine No.174


วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคต่างๆ

คริสตศาสนายุคต่างๆ
ยุคปฐมกาล
ตามหลักความเชื่อของคริสต์ศาสนิ
กชนซึ่งมาจากพระคัมภีร์ใบเบิลและประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
คริสต์ศาสนาเริ่มต้นตั้งแต่พระเป็นเจ้าทรงรักโลกจนกระทั่งประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
คือ พระเยซูคริสต์เข้ามาไถ่มนุษย์ออกจากบาป คำว่า "เยซู" แปลว่า
พระเป็นเจ้าทรงเป็นความรอด (Yahweh is salvation)
หรือพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (Yahweh is the savior)

พระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นที่มาแห่งชีวิต คือ
ทรงเป็นพระผู้สร้างจักรวาลและชีวิตทั้งมวล
มนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้าง ได้เกิดลูกหลานต่อๆ มา
และแพร่ออกไปทั่วโลก ต่างก็ห่างเหินไปจากพระเป็นเจ้าและหลงลืมพระองค์
ชีวิตของมนุษย์คงมีความทุกข์ต่างๆ
เพราะความผิดที่มนุษย์ต่างกระทำขึ้นด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์
พระเป็นเจ้าจึงประทานพระบุตรมาเกิด (incarnation) เป็นพระเยซู
พระเป็นเจ้าจึงทรงเตรียมการเป็นขั้นตอนโดยทรงเลือกอับราฮัมชาวฮีบรู
ให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอลเพื่อเป็นผู้รับมอบพันธกิจนำพระพร
คือความรอด ไปสู่ชนทุกชาติทั่วโลก เมื่อถึงกำหนดที่ทรงวางไว้
พระบุตรเสด็จลงมาเกิดเป็นพระเยซูผู้สืบเชื้อสายของชนชาติอิสราเอลจากเชื้อสายอับราฮัมผ่านทางเดวิดจนมาถึงพระเยซู

ยุคพระเยซู

เมื่อพระเยซูมีพระชนม์มายุได้ 30 ปี
ทรงจาริกสั่งสอนในประเทศอิสราเอลเป็นเวลา 3 ปี ทรงเลือกชาวยิว 12 คน
เป็นผู้รับพันธกิจจากพระองค์ เพื่อนำพระพรไปสู่ชนทั่วโลก
พระเยซูทรงถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ที่กางเขน
เป็นการตายเพื่อชดใช้หรือไถ่มนุษย์ออกจากบาป เพื่อไถ่มนุษย์ออกจากความบาป
เพื่อมนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ
และกลับเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตามพระฉายาของพระเป็นเจ้า
และจะกลับคืนดีและมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องต้อพระเป็นเจ้า ในวันที่ 3
พระเป็นเจ้าทรงทำให้พระเยซูกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือทรงกลับคืนชีพ
หลังจากที่ปรากฏแก่เหล่าสาวก
และทรงมอบพันธกิจแก่เหล่าสาวกแล้วเสด็จสู่สวรรค์

คำภาษาอังกฤษ Resurrection ทางคาทอลิก ใช้คำว่า "การกลับคืนชีพ"
ส่วนทางฝ่ายโปรแตสแตนท์ ใช้คำว่า "การเป็นขึ้นมาจากความตาย"

ยุคคริสตจักรเริ่มแรก

ในวันเทศกาลเพนเทคอสต์ (the day of Pentecost) ซึ่งตรงกับวันที่ 50
หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เวลา 09.00 น.
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าได้เสด็จลงมายังบรรดาศิษย์ของพระองค์
ทรงเปลี่ยนให้ทุกคนเป็นคนใหม่
เปี่ยมด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องพันธกิจที่พระเยซูทรงสละพระชนม์เพื่อเป็นพระพรแก่มนุษย์
ทุกคนจึงมีใจร้อนรนกล้าหาญที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่พระเยซูทรงไถ่มนุษย์ด้วยการสละพระชนม์ชีพของพระองค์บนกางเขน
ในวันนั้นมีผู้เชื่อและยอมรับพระเยซูเป็นผู้ไถ่เขาออกจากบาปถึง 3,000 คน
คริสต์ศาสนิกชนจึงถือว่าวันนี้คือวันเกิดของคริสตจักร

แผนการไถ่มนุษย์จากบาป และปลดปล่อยให้เป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพ
เพื่อจะสามารถกลับคืนดีเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและมีความสัมพันธ์อันถูกต้องกับพระเป็นเจ้านั้น
พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว
การตายของพระเยซูเป็นการไถ่มนุษย์ออกจากบาปแล้ว
จึงเหลืองานที่จะทำต่อไปคือการนำข่าวประเสริฐนี้ไปประกาศให้โลกรู้
พระเยซูทรงสั่งให้สาวกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับที่พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัมและชนชาติอิสราเอลให้เป็นผู้นำพระพรไปสู่ชนทุกชาติ

อัครสาวกทั้ง 12 คน ได้ประกาศข่าวดีนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม
ซึ่งมีทั้งชาวเยรูซาเล็มเอง และชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ
และได้กลับมาประเทศอิสราเอล เพื่อนมัสการในเทศกาลเพนเทคอสต์
หลังจากเทศกาลนั้นเมื่อคนเหล่านั้นเดินทางกลับประเทศที่ตนอยู่ก็ได้นำข่าวดีนั้นไปประกาศด้วย
ส่วนอัครสาวกก็ไปประกาศในที่ต่างๆ เช่น ฟิลิปไปประกาศแก่ชาวเอธิโอเปีย
โทมัสไปประกาศถึงประเทศอินเดีย ยาคอบไปประกาศที่สเปน
เปโตรไปประกาศถึงกรุงโรม เปาโลและบารนาบัสไปประกาศที่เอเชียน้อย
ประเทศกรีช และกรุงโรม อัครสาวกและสาวกคนอื่นๆ ก็ไปประกาศในที่ต่างๆ
ข่าวดีนี้จึงแพร่ไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว

แต่การประกาศข่าวดีนี้ไม่ใช่เป็นการง่าย ในระยะ 3
คริสต์ศตวรรษแรกต้องประสบแต่การข่มเหง การขัดขวาง
ผู้ที่ไปประกาศและผู้ที่รับข่าวดีก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากและถูกฆ่าตายไม่น้อย
แต่ข่าวดีนี้ก็มิได้หยุดยั้งชะงักลง มีแต่การแพร่ออกไปจนกระทั่ง ค.ศ. 313
จักรพรรดิคอนสแตนตินประกาศกฤษฏีกาที่เมืองมิลานให้ทุกคนมีเสรภาพในการนับถือคริสต์ศาสนาได้
ในตอนปลายของศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิเทโอโดซิอุสมหาราช ค.ศ. 379-395
ทรงกระทำให้จักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิของคริสต์ศาสนาในสมัยนี้
คริสตจักรจึงรุ่งเรือง การก่อสร้างโบสถ์วิหารมีไปทั่วทุกแห่ง
สมัยนั้นคริสตจักรมีศูนย์กลางที่สำคัญ 5 แห่ง คือ
เมืองอะเล็กซานเดรียในอียิปต์ กรุงเยรูซาเล็ม เมืองแอนดิออก
กรุงคอนสแตนติโนเปิล และกรุงโรม ศูนย์กลางแต่ละแห่งมีผู้อภิบาลเรียกว่า
อัครบิดร (papa หรือ partriarch)

ยุคมืด

คริสต์ศตวรรษที่ 5-11 ตามประวัติศาสตร์คริสตจักร เรียกว่า ยุคมืด
เริ่มจากประเทศต่างๆ
ในยุโรปถูกรุกรานโดยที่ฝ่ายบ้านเมืองไม่สามารถต่อต้านได้
แต่ต่อมาฝ่ายคริสตจักรตะวันตกโดยการนำของสันตะปาปาลีโอที่ 1
ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นอัครบิดรแห่งโรมด้วย
สามารถควบคุมสถานการณ์ในกรุงโรมและบริเวณใกล้เคียงได้
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีอำนาจของคริสตจักรโรม
และมีอิทธิพลครอบคลุมไปถึงแอฟริกาตอนเหนือ สเปน และกอล (ฝรั่งเศล
และเยอรมนีในปัจจุบัน)
และต่อมาก็ยังมีอัครบิดรบางสมัยที่พยายามขยายอิทธิพลออกไปอีก
ด้วยการชักชวนให้ผู้รุกรานตั้งหลักแหล่งและเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน
โดยยินยอมให้อัครบิดรแห่งโรมในฐานะสันตะปาปามีสิทธิแต่งตั้งกษัตริย์
หรืออนุมัติการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ด้วย

คริสตจักรตะวันออกสูญเสียศาสนิกชนให้แก่อิสลามตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7
ทำให้คริสต์ศาสนิกชนที่เหลือในแถบนี้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยไป
แต่การประกาศข่าวดีในที่อื่นก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป และมีคนจากประเทศอื่นๆ
เช่นรัสเซีย เข้ามานับถือคริสตศาสนาในช่วงนี้ด้วย

คริสตจักรซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่แรกก็แยกออกเป็นคริสตจักรตะวันออกและคริสตจักรตะวันตก
ใน ค.ศ. 1054 เนื่องด้วยสาเหตุการเมืองและอื่นๆ อีกหลายประการ
อันเป็นผลให้อัครบิดาของ 2 ฝ่าย ไม่อาจออมชอมกันได้
คริสตจักรตะวันตกจึงกลายเป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ซึ่งมีศูนย์กลางเริ่มแรกที่กรุงโรม และคริสตจักรตะวันออกได้ชื่อว่า
คริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ซึ่งมีศูนย์กลางเริ่มแรกที่จักรวรรดิไบแซนไทน์
(นครอิสตันบูลประเทศตุรกีในปัจจุบัน)

ยุคฟื้นฟู

ระหว่างสงครามครูเสด
ปัญญาชนชาวคริสต์ได้เรียนรู้และได้รับเอกสารมากมายเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมกรีกจากชาวมุสลิม
การศึกษาอย่างเป็นระบบเริ่มในวังของจักรพรรดิ์ชาร์เลอมาญ (Charlemagne)
เป็นปฐม แล้วขยายออกไปสู่โบสถ์ต่างๆ
ภาษาละตินกลายเป็นภาษาสากลทางวิชาการและศาสนา
ใช้คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลเป็นภาษาละตินของเซนต์เยโรม (St. Jerome)
เป็นมาตรฐาน จนได้ชื่อว่าคัมภีร์ฉบับประชาชน (Vulgate Bible)
การเรียนหนังสือในสมัยนั้น
จึงหมายถึงการเรียนภาษาละตินและเรียนวิชาการต่างๆ ด้วยภาษาละตินนั่นเอง
และวิชาการส่วนมากก็ได้หลักการและพื้นฐานมาจากต้นฉบับภาษากรีกที่แปลเป็นภาษาละตินเช่นกัน

ยุคปฏิรูป

เมื่อการศึกษาศิลปวิทยาการกรีกขยายวงกว้างออกไป
มีการวิจัยค้นคว้าลึกซึ้งมากขึ้น และสร้างผลงานออกมาได้แนบเนียนมากขึ้น
การปฏิรูปในด้านต่างๆ ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและขยายตัวออกไป
รวมทั้งการปฏิรูปทางศาสนาด้วย
เนื่องจากมีผู้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศล เยอรมัน
นอกจากจะเป็นต้นกำเนิดของความรู้สึกชาตินิยมแล้วยังทำให้ผู้ศึกษาคัมภีร์มีความรู้ความเข้าใจใหม่
การปฏิรูปนี้จึงมิได้เริ่มแห่งเดียวและมิใช่โดยผู้นำคนเดียว
แต่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ เช่น จอห์น ไวคลิฟฟ์ (John Wycliffe)
ชาวอังกฤษ ค.ศ. 1324-1384 จอห์น ฮัลส์ (John Huss) ชาวเซ็ก ค.ศ.
1369-1415 มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther) ชาวเยอรมัน ค.ศ. 1483-1546
อุลริช ชวิงลี (Ulrich Zwingli) บางแห่งใช้ว่า Huldreich Zwingli ชาวสวิส
ค.ศ. 1484-1531 จอห์น คาลวิน (John Calvin) ชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1509-1564
เนื่องจากองค์การบริหารของคริสตจักรของโรมันคาทอลิก ณ กรุงโรม
ยึดติดกับความคิดของตนอย่างเหนียวแน่น
จนเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสมาชิกบางกลุ่มในบางประเทศ
ที่เห็นความจำเป็นต้องปฏิรูปอย่างรีบด่วน
คริสตจักรโปรแตสแตนท์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1529
ส่วนภายในคริสตจักรคาทอลิกก็มีการปฏิรูปในหลายรูปแบบแต่ยังคงถือนโยบายเน้นเอกภาพในความเหมือนกันและการรวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลางต่อไป
จนถึงการสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2

ตั้งแต่นั้นมา คริสต์ศาสนาก็แบ่งเป็นนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก
ออร์ทอดอกซ์ และโปรแตสแตนท์
ต่างฝ่ายต่างพัฒนากิจการของตนอย่างอิสระและต่างก็มีสมาชิกแผ่กระจายออกไปในประเทศต่างๆ
ทั่วโลก ความสำนึกว่าคริสตจักรต้องเป็นหนึ่งเดียว
มีปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่หลายแห่งด้วยกัน
และหลังจากนั้นก็ได้มีการประกาศย้ำเป็นทางการใน

คริสตจักรหลายครั้งว่า คริสตจักรต้องเป็นหนึ่งเดียว (one) และ สากล
(catholic) อย่างเช่นประกาศหลักข้อเชื่อของอัครสาวก (Apostles's Creed)
และหลักข้อเชื่อไนซีน (Nicene Creed)
ความเชื่อนี้ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นเมื่อโปรแตสแตนท์กลุ่มต่างๆ
และออร์ทอดอกซ์รวมตัวกันเป็นหน่วยงาน
เรียกว่าคณะกรรมการกลางหลักความเชื่อและระบบการปกครอง (Commission on
Faith and Order) เมื่อ ค.ศ. 1927
และต่อมามีการรวมตัวเป็นสภาคริสตจักรแห่งโลก (World Council of Churches)
เมื่อ ค.ศ. 1948
ส่วนคริสตจักรคาทอลิกได้จัดประชุมสังคายานาวาติกันครั้งที่ 2 ระหว่าง
ค.ศ. 1962-1965 โดยเชิญผู้แทนจากคริสตจักรโปรแตสแตนท์และออร์ทอดอกซ์เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ด้วย
และได้เปลี่ยนนโยบายรวมศูนย์มาเป็นการเน้นเอกลักษณ์ท้องถิ่น
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนที่สำคัญมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ในที่สุดคาทอลิกส่งผู้แทนเข้าประชุมสภาคริสตจักรแห่งโลกเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1993 ในปัจจุบันการติดต่อและร่วมมือระหว่างคริสตจักร กลุ่มต่างๆ
เกิดบ่อยขึ้นและกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยถือหลักการร่วมกันว่า
"ให้ร่วมมือกันโดยไม่ต้องเชื่อและถือเหมือนกัน"
และให้เข้าใจว่าความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักร หมายความถึง
"เอกภาพในความหลากหลาย"

( แหล่งข้อมูล: พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ – ไทย
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2542 หน้า 83 – 88 )
http://sites.google.com/site/sinchaisite/

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความจริงของการแปลพระคัมภีร์ไทย


เขียนโดย อจ.ประณต บุษกรเรืองรัตน์
มีคริสตชนหลายท่านได้สนใจไต่ถามว่าสมาคมพระคริสตธรรมไทยมีหลักการและขั้นตอนในการแปลพระคัมภีร์อย่างไร สมาคมฯ จึงขอใช้อธิบายหลักการที่สำคัญๆ ของการแปลพระคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐานของสมาคมพระคริสตธรรมไทย สรุปได้ดังนี้...
1. แปลจากสำเนาต้นฉบับภาษาฮีบรูและกรีกโดยผู้เชี่ยวชาญ พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาษาไทยของสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นฉบับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรไทยและคริสตชนไทยมาช้านาน (ตั้งแต่ฉบับ ค.ศ. 1940) แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดกันว่าพระคัมภีร์ไทยของสมาคมฯ แปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษ ในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อพระคัมภีร์ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยนั้น คณะผู้แปลซึ่งประกอบด้วยมิชชันนารีชาวต่างชาติและผู้ทรงคุณวุฒิคนไทยได้ยึดสำเนาพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูในการแปลพันธสัญญาเดิม และสำเนาภาษากรีกในการแปลพันธสัญญาใหม่เป็นหลัก โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทยได้เชิญผู้แปลที่มีความรู้ภาษาฮีบรูและกรีกเป็นอย่างดี เป็นนักวิชาการพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียง และหากเป็นชาวต่างชาติก็ต้องมีความรู้ภาษาไทยเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น กรรมการยกร่างคำแปลฯ ของฉบับ 1971 ประกอบด้วย ศาสนาจารย์ศรัณย์ ชัยรัตน์ อดีตคณบดีคณะศาสนศาสตร์แมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ พร้อมทั้งผู้ร่วมงานของท่านคือ ดร.เฮอร์เบิร์ต เกรเธอร์ และ ศาสนาจารย์ฟรานซิส ซีลี ทั้งหมดเป็นนักภาษาฮีบรูและกรีกที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย จวบจนกระทั่งปัจจุบัน สมาคมพระคริสตธรรมไทยกำลังทำการแก้ไขคำแปลพระคัมภีร์ฉบับ 1971 ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคณะผู้แปลในปัจจุบันก็เป็นนักภาษาฮีบรูและกรีกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน หลายท่านเป็นอาจารย์สถาบันพระคริสตธรรม บางท่านมีผลงานการแปลตำรา เขียนตำราที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการคริสเตียน ซึ่งสามารถเปิดเผยนามของท่านเหล่านี้ได้ สมาคมฯ ภาคภูมิใจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานภาระใจให้นักวิชาการเหล่านี้มาร่วมกันทำให้พระวจนะของพระองค์ได้รับการแปลอย่างถูกต้องและเป็นที่เข้าใจของผู้อ่านมากยิ่งขึ้น
คณะผู้แปลพระคัมภีร์ของสมาคมฯ ในปัจจุบัน
o ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย M.Div. (Gordon-Conwell Theological Seminary, South Hamilton, Massachusettes, USA), Ph.D. (University of Edinburgh, Scotland) เลขาธิการสมาคมพระคริสตธรรมไทย และอาจารย์พิเศษสถาบันกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ (BIT)
o ดร. วรรณภา เรืองเจริญสุข Th.M. (Trinity Evangelical Divinity School, Deerfield, Illinois,USA), D.Min. (Columbia International University, Columbia, South Carolina, USA)หัวหน้าฝ่ายวิชาการ พระคริสตธรรมเชียงใหม่ (CTS) และอาจารย์พิเศษ วิทยาลัยพระคริสตธรรมแมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ
o ศาสนาจารย์โรเบิร์ต คอลลินส์ M.Div., Th.M. (Pittsburgh Theological Seminary, Pennsylvania, USA)อาจารย์พิเศษหมวดพันธสัญญาใหม่ วิทยาลัยพระคริสตธรรมแมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ
o อาจารย์ทองหล่อ วงศ์กำชัย วศ.บ. (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), Dip.Th. (Discipleship Training Center, Singapore)อดีตหัวหน้าฝ่ายแปล สมาคมพระคริสตธรรมไทย และอาจารย์พิเศษโรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์
o อาจารย์ปัญญา โชชัยชาญ ศศ.บ ภาษาอังกฤษ (มหาวิทยาลัยรามคำแหง), M.Div. (สถาบันบัณฑิตคริสตศาสนศาสตร์เมืองไทย)ฝ่ายแปล สมาคมพระคริสตธรรมไทย และอาจารย์พิเศษโรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์
o อาจารย์พัชรินทร์ ชัชมนมาศ M.Div., D.Min. candidate (Bethel Theological Seminary, St. Paul, Minnesota, USA)ผู้บริหารองค์การแคมปัสครูเสดฟอร์ไครสต์ (CCC)
2. แปลจากสำเนาพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูและกรีกที่ได้มาตรฐาน สำเนาพระคัมภีร์ภาษาเดิมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานในการแปลพระคัมภีร์ คือ UBS Greek New Testament, 4th Edition สำหรับภาษากรีก และ Biblia Hebraica Stuttgartensia (BHS) สำหรับภาษาฮีบรู ทั้งสองเล่มเป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมพระคริสตธรรมเยอรมันซึ่งเป็นสมาชิกของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (United Bible Societies หรือ UBS) เช่นเดียวกับสมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคัมภีร์ไทยจึงใช้พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูและกรีกทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นต้นฉบับในการแปล ดังนั้น พระคัมภีร์ไทยของสมาคมฯ จึงมาจากพระคัมภีร์ในภาษาเดิมอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
3. มีระบบขั้นตอนการแปลที่มีมาตรฐานสูง นอกเหนือจากการแปลจากภาษาฮีบรูและกรีกโดยผู้เชี่ยวชาญ และการใช้สำเนาพระคัมภีร์ภาษากรีกและฮีบรูที่ได้มาตรฐานแล้ว สมาคมพระคริสตธรรมไทยทำงานภายใต้มาตรฐานการแปลพระคัมภีร์ของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (UBS) ซึ่งเป็นองค์กรการแปลพระคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก และสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกนั้น ด้วยการแปลภายใต้มาตรฐานของสหสมาคมฯ ยังผลให้ พระคริสตธรรมคัมภีร์ของสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นหนังสือภาษาไทยที่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุดก็ว่าได้ กล่าวคือ มีระบบและขั้นตอนการทำงานดังนี้ เมื่อผู้แก้ไขคำแปล (Revisers) แต่ละท่านได้แก้ไขคำแปลพระธรรมที่ตนรับผิดชอบเสร็จ ก็จะให้ผู้แปลอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้แก้ไขคำแปลพระธรรมเล่มอื่น ทำหน้าที่ตรวจไขว้ (Cross-Check) แล้วส่งข้อเสนอแนะให้ผู้รับผิดชอบแก้ไขพระธรรมเล่มนั้นๆ พิจารณา จากนั้นจึงจัดส่งให้กรรมการตรวจสอบ ทำการตรวจอีกครั้งหนึ่งทั้งในด้านอรรถาธิบาย ภาษาที่สื่อชัดเจน และการอ่านรู้เรื่อง เมื่อกรรมการตรวจสอบได้ตรวจสอบเสร็จก็จะส่งกลับมายังผู้รับผิดชอบการแก้ไขคำแปลเพื่อพิจารณา ต่อมาจึงได้ส่งให้หรือพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาการแปล (Translation Consultant) ของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (UBS) ซึ่งมีความรู้ทั้งด้านศาสนศาสตร์และภาษาศาสตร์ และต้องมีวุฒิปริญญาเอกสาขาใดสาขาหนึ่งในสองสาขานี้ เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนนี้จึงส่งให้นักลีลาภาษา (Stylist) ขัดเกลาภาษาไทยแล้วส่งกลับมาให้ผู้แก้ไขคำแปลพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้คณะผู้แปลมีที่ปรึกษา (Advisors) เป็นผู้นำคริสตจักรไทยจำนวน 25 ท่านมีหน้าที่ให้คำเสนอแนะในด้านการแปลที่อาจมีผลกระทบในวงกว้าง เช่น ในเรื่องพระนามเฉพาะของพระเจ้า ดังนั้น สมาคมฯ จึงเชื่อแน่ว่าคำแปลทุกคำได้รับการกลั่นกรองอย่างดี ถูกต้อง และเหมาะสม สมฐานะเป็นคำแปลของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Scripture) บางคนอาจมีคำถามว่า เมื่อพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรูหรือกรีกใช้คำเดียวกัน เพราะเหตุใดสมาคมฯ จึงแปลคำเหล่านั้นไม่เหมือนกันในบางแห่ง สมาคมฯ ขออธิบายดังนี้คือ หลักการแปลประการหนึ่งของสมาคมฯ ก็คือการแปลจะต้องมีความสม่ำเสมอ (Consistency) กล่าวคือคำเดียวกันในภาษาเดิม ก็ควรจะแปลเป็นภาษาไทยด้วยคำเดียวกันตราบเท่าที่บริบท (Context) เอื้ออำนวย เพราะฉะนั้นการแปลจึงขึ้นอยู่กับบริบทด้วย ดังจะเห็นได้ว่าคำเดียวกันในภาษากรีก เช่น “พะนือมา” พระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 แปลเป็นหลายคำในบริบทที่ต่างกัน เช่น ลมหายใจ พวกวิญญาณที่ดี พวกวิญญาณชั่ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ ลม น้ำใจ ใจ เป็นต้น ซึ่งไม่เป็นการผิดหลักการแปลแต่อย่างใด เพราะตามหลักอรรถศาสตร์หรือศาสตร์ของความหมาย (Semantics) แล้ว คำหนึ่งๆ ในภาษาฮีบรูหรือกรีกมีความหมายครอบคลุมหลายคำแปลด้วยกัน ผู้แปลต้องวิเคราะห์ว่าแท้จริงแล้วคำคำหนึ่งในบริบทนั้นๆ จะมีความหมายว่าอย่างไร สมาคมฯ ขอถือโอกาสนี้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขคำแปล (การยกร่าง) พระคัมภีร์ไทยดังนี้คือ พระธรรมสุภาษิตได้ผ่านขบวนการแปลทุกขั้นตอนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเรียงพิมพ์และพร้อมจะจำหน่ายจ่ายแจกในปี 2007 นี้ ส่วนพระธรรมสดุดีอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของที่ปรึกษาการแปล ท้ายที่สุดนี้ ขอให้คริสตชนไทยมั่นใจได้ว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐานของสมาคมพระคริสตธรรมไทย เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับการทรงนำในการแปลจากพระคัมภีร์ในภาษาเดิมอย่างถูกต้อง มีคำแปลที่เหมาะสมสำหรับการอ่านและใคร่ครวญเพื่อความเจริญเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ ขอให้ทุกสิ่งที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้กระทำในพระนามของพระองค์เป็นการถวายพระเกียรติและพระสิริแด่พระเจ้าในที่สูงสุด

ประวัติศาสตร์คริสตจักรไทย

180 ปี โปรเตสแตนท์ในประเทศไทย
โดย ศจ.ดร.มาโนช แจ้งมุข

เนื่องในโอกาสครบรอบ 180 ปี คริสตจักรนิกายโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย ในเดือนสิงหาคม 2008 นี้ จึงขอนำประวัติศาสตร์ย่อคริสตจักรไทยมาเล่าสู่กันฟังเพื่อรำลึกถึงพระคุณพระเจ้าที่มีต่อประเทศไทยและขอสดุดีผู้พลีชีพ เพราะความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งมิชชันนารีและคริสเตียนไทย
จากการศึกษาประวัติศาสตร์คริสตจักรไทยพบว่า ก่อนมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนท์จะเดินทางเข้ามาเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในประเทศไทยในต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีคณะผู้เผยแพร่คริสตศาสนานิกายคาทอลิก เดินทางเข้ามาก่อนแล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า นักเดินเรือ สนใจทำงานกับคนต่างชาติมากกว่าคนไทย การประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ต่อชาวไทยจึงไม่เกิดผลเท่าที่ควร และ ศตวรรษที่ 17 มีหลักฐานที่พอเชื่อถือได้ว่ามีคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนท์ชาวฮอลันดา ในสังกัดคณะลูเธอร์แรนด์ แองลิกัน และคาลวินนิสต์เข้ามาในประเทศไทย แต่ไม่พบร่องรอยของความพยายามในการประกาศเผยแพร่คริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จัดให้มีการประชุมนมัสการพระเจ้าในพวกเดียวกันเองบริเวณค่ายพักของชาวฮอลันดาเท่านั้น
มิชชันนารีชาวโปรตุเกสถือได้ว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1511 ก่อนพวกมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาประเทศไทยในปี ค.ศ.1662 และอีกกลุ่มเข้ามาปี ค.ศ.1688 ตามลำดับ เคนเน็ต แวลล์ กล่าวว่า “สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือ สร้างโบสถ์ แต่งานการเผยแพร่ไม่ได้เกิดผลมากนักตลอด 140 ปี มีคริสตจักรเพียง 6 แห่ง คือในกรุงเทพฯ 4 แห่งและต่างจังหวัดเพียง 2 แห่งเท่านั้น”

พันธกิจคริสตจักรโปรเตสแตนท์
จะขอแบ่งการทำพันธกิจคริสตจักรไทยจากประวัติศาสตร์ในส่วนของคริสตจักรโปรเตสแตนท์ออกเป็น 5 ยุคด้วยกัน การศึกษาในส่วนนี้เป็นเพียงสรุปย่อของบทบาทมิชชันนารีและผู้นำคริสตจักรไทยในประวัติศาสตร์คริสตจักรไทยระหว่าง 180 ปี ซึ่งเน้นเฉพาะบทเรียนหลัก ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาว่าพันธกิจดำเนินไปอย่างไร

หนึ่ง ยุคแห่งการบุกเบิกพันธกิจ (ค.ศ.1816-1851)
ช่วงแรกนี้เป็นช่วงของการบุกเบิกพันธกิจอย่างแท้จริง อุปสรรคที่ขัดขวางการประกาศเผยแพร่นั้นมีมากมาย แต่ด้วยหัวใจของนักบุกเบิกทำให่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้ถูกเผยแพร่ในประเทศไทยมิชชันนารีสองคนแรกคือ นายแพทย์คาร์ล ออกัสตัน เฟรดเดอริค กุ๊ตสลาฟ ศาสนทูตชาวเยอรมันกับศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน มิชชันนารีชาวอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1828 ในรัชกาลของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 แม้ความตั้งใจแรกจะไปประเทศจีน แต่ขณะที่รอคอยและพำนักอยู่ในประเทศไทย พวกเขาได้ใช้เวลาศึกษาภาษาไทยและได้แปลพระคัมภีร์บางส่วนเป็นภาษาไทยสำเร็จลงได้ภายในเวลา 6 เดือน คือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม พระธรรมโรมและยังได้จัดทำพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยเล่มแรก (Aถึง R) ขึ้นด้วย
ในการประกาศพระกิตติคุณกับคนไทยนั้นแท้จริงแล้วเริ่มจากคนไทยที่อาศัยนอกประเทศขณะนั้น โดยครอบครัวของศาสนาจารย์อโดนีรัม จัดสัน มิชชันนารี ชาวอเมริกันซึ่งทำงานอยู่ในประเทศพม่า และภรรยาของท่านชื่อแอนน์ จัดสัน มีภาระใจต่อคนไทยที่เป็นเชลยศึกอยู่ในเมืองมะละแมง ประเทศพม่า ท่านจึงฝึกหัดเรียนภาษาไทยและทำการแปลบทเรียนไปพิมพ์ที่ประเทศอินเดียถือว่าเป็นบทเรียนพระคัมภีร์ภาษาไทยชุดแรกที่ให้คนไทยได้เรียนและศึกษาเรื่องพระเยซูคริสต์ ซึ่งต่อมานายแพทย์บรัดแลย์ ได้ขอซื้อแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยชุดนี้มาทำการพิมพ์ในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ.1835 นับว่าเป็นโรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทยด้วย
มิชชันนารีผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยอย่างมากอีกสองท่านที่จะขอกล่าวคือนายแพทย์แดน บีช บัดเลย์ (ค.ศ.1835) จากสมาคมอเมริกันมิชชันนารีผู้มีประวัติชีวิตและผลงานเป็นคุณอนันต์แก่ประเทศไทยอย่างมาก เป็นแพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนไทยจากโรคร้าย ท่านค้นพบวัคซีนป้องกันฝีดาษและยาฉีดรักษาไข้ทรพิษ(ค.ศ.1840) เป็นผู้ทำการผ่าตัดด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และได้จัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้น ซึ่งสิ่งพิมพ์เหล่านี้ต่อมากลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยด้วย ส่วนงานด้านฝ่ายวิญญาณท่านรักการเทศนาสั่งสอน งานเขียนและแปลพระคัมภีร์ ท่านใช้บ้านเป็นที่พบปะของบรรดามิชชันนารีต่างคณะนิกายเพื่อการประชุมและการอธิษฐาน และอีกท่านหนึ่งคือ ศาสนาจารย์เจสสี คาสเวลล์ (ค.ศ.1840) มิชชันนารีคณะเดียวกันผู้ซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้สอนภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์แด่เจ้าฟ้ามงกุฎ(รัชกาลที่ 4) ขณะเมื่อทรงผนวชอยู่ เนื่องจากการรู้จักเข้าถึงคนและการเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยเป็นเหตุให้ท่านเป็นที่ยอมรับจากบุคคลชั้นสูงและไม่เป็นอุปสรรคต่อการประกาศพระกิตติคุณ
ยังมีมิชชันนารีอีกคณะหนึ่งที่เข้ามาทำการเผยแพร่ในประเทศไทยช่วงแรกนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1833-1893 คือ คณะอเมริกันแบ๊บติสมิชชั่น โดย จอห์น เทเลอร์ โจนส์ ทำงานกับคนไทย งานส่วนใหญ่เป็นการแปลพระคัมภีร์พิมพ์และแจกจ่าย อีกคนหนึ่งคือ วิลเลียม ดีน ซึ่งงานส่วนใหญ่เป็นการประกาศกับคนจีนในประเทศไทย และได้ก่อตั้งคริสตจักรจีนขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1837 ด้วยสมาชิกเพียง 11 คน มีศาสนาจารย์ดีน เป็นศิษยาภิบาล ถือว่าเป็นคริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งแรกในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันคือคริสตจักรไมตรีจิต สังกัดภาค 12 สภาคริสตจักรในประเทศไทย สรุปผลงานของมิชชันนารีอเมริกันแบ๊บติสช่วง 50 ปี แรก มีคริสตจักร 6 แห่ง จำนวนคริสเตียนประมาณ 500 คน คณะนี้ปิดตัวลงในประเทศไทยช่วงแรกปี ค.ศ.1927 เพราะไม่มีมิชชันนารีใหม่มาทำการ

สอง ยุคพันธกิจหยุดชะงักและถดถอย (1851-1883)
ปี ค.ศ.1851 เจ้าฟ้ามงกุฎ (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4) ขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงมี ความโปรดปรานต่อคณะมิชชันนารีมาก และทรงให้ความอนุเคราะห์หลายด้านแก่พวกมิชชันนารี บางคนได้รับเชิญให้เข้าไปสอนภาษาอังกฤษ และวิทยาการสมัยใหม่กับเจ้านายชั้นสูงในพระราชสำนัก
พันธกิจด้านการประกาศพระกิตติคุณ พวกมิชชันนารีมีอิสระมากขึ้นโดยตั้งสถานีมิชชั่นหรือศูนย์พันธกิจ(Mission Station)ขึ้นตามหัวเมืองต่าง ๆ ในภาคกลางที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคใต้ที่จังหวัดเพชรบุรี โดยงานส่วนใหญ่เน้นพันธกิจด้านการแพทย์ โรงเรียน และงานด้านการพิมพ์ จากการสังเกตดูเหมือนว่ามิชชันนารีเหล่านี้ทำงานมากแต่การประกาศพระกิตติคุณกลับได้ผลน้อย
ขณะที่การประกาศข่าวประเสริฐดูเหมือนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่มีอุปสรรคมากมายที่ขัดขวางทำให้การประกาศเป็นไปอย่างล่าช้า การประกาศข่าวประเสริฐเป็นไปด้วยความยากลำบากระยะเวลา 30 ปีหลังจากมิชชันนารีทำการประกาศในประเทศไทยมีคนที่รับเชื่อเป็นสมาชิกคนจีน 13 คน และเป็นคนไทย 28 คนเท่านั้น
อุปสรรคใหญ่อีกประการหนึ่งที่ทำให้การทำพันธกิจของพระเจ้าหยุดชะงักเป็นเหตุให้คณะมิชชันนารีเกิดความท้อถอยคือการข่มเหงและการต่อต้านจากผู้มีอำนาจสมัยนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญยิ่งของคริสตจักรไทยคือในเดือนกันยายน ค.ศ.1869 มีคริสเตียนคนไทยสองคนแรกในภาคเหนือคือหนานชัย กับน้อยสุริยะ ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยคำสั่งของเจ้ากาวิโรรส ผู้ครอบครองเชียงใหม่ขณะนั้น เพราะการยืนหยัดในความเชื่อที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูคริสต์ จากเหตุการณ์นี้ทำให้บรรดาผู้สนใจและผู้ที่กำลังเลื่อมใสในคริสต์ศาสนาเกิดความกลัว กระจัดกระจายหนีไป มิชชันนารีตกอยู่ในสภาพอันตรายและหวาดกลัว การเติบโตของคริสตจักรหยุดชะงักลงชั่วระยะหนึ่งจนถึงการเสียชีวิตของเจ้าเมือง ในปี ค.ศ.1870 สมาชิกค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนงานมิชชันนารี
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผลดีตามมาคือ คณะมิชชันนารีได้ลุกขึ้นอีกครั้ง กล้าเผชิญหน้ากับการขัดขวางโดยยื่นคำร้องต่อพระมหากษัตริย์กราบบังคมทูลขอเสรีภาพในการนับถือศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 ได้ทรงมีพระราชโองการ”ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา” ขึ้น (The Edict of religious Toleration) เมื่อปี 1878
หลังการบุกเบิกของมิชชันนารีใน 50 ปีแรก สมาชิกคริสตจักรทั้งหมดมีเพียง 600 คน อยู่ในคณะเพรสไบทีเรียน 300 คน ทางภาคใต้ (รวมเพชรบุรี 100 คน) และภาคเหนือที่เชียงใหม่มีอีก 150 คน คณะอเมริกันแบ๊บติสต์มีสมาชิกส่วนมากเป็นคนจีน 100 คน ในกรุงเทพฯ และมีสมาชิกเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีอีกประมาณ 50 คนในภาคเหนือ
ผู้นำที่มีอิทธิพลในยุคนี้คือ ท่านเอส. จี แมคฟาร์แลนด์,นายแพทย์ซามูเอล เฮาส์, ดร.ดาเนียล แมคกิลวารี,ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน,ศาสนาจารย์ดันแลป และมิชชันนารีอีกหลายสิบคนผู้นำสำคัญในการทำพันธกิจ ยังคงเป็นมิชชันนารีอีกหลายสิบคนผู้นำสำคัญในการทำพันธกิจ ยังคงเป็นมิชชันนารี ส่วนคนไทย คนจีน ที่กลับใจเป็นคริสเตียนยังไม่ได้ถูกฝึกให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เป็นผู้รับใช้ จะมีก็บางคนที่เป็นลูกมือ หรือลูกจ้าง คนงานของมิชชันนารีหรือพวกลูกบุญธรรมบางคนที่ได้รับการสนับสนุนจากมิชชันนารีในการทำงาน คริสเตียนชาวพื้นเมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนจีนมากกว่าคนไทย บทเรียนที่เห็นได้ชัดจากการทำงานของมิชชันนารีในฐานะผู้นำคือความกล้าหาญที่เอาชนะ ความกลัว อุปสรรค ปัญหา ความไม่ย่อท้อการต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ความไม่ยอมแพ้ ไม่ล้มเลิก เป็นผลให้คนไทยได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาจวบจนปัจจุบัน


สาม ยุคการขยายพันธกิจ (ค.ศ.1884-1940)
ช่วงนี้เป็นเวลาที่พันธกิจของคณะเพรสไบทีเรียนเจริญเติบโตมากโดยเฉพาะมิชชั่นลาวในภาคเหนือของประเทศไทย ปี ค.ศ. 1902 จำนวนคริสเตียนเพิ่มเป็น 2,929 คน ปี ค.ศ.1911 เพิ่มเป็น 4,000 กว่าคน ในปี ค.ศ.1913 มี คริสตจักรเพิ่มเป็น 26 แห่งและจำนวนสมาชิกเพิ่มเป็น 6,900 คน ขณะที่มิชชั่นสยามของคณะเพรสไบทีเรียนใน ปี ค.ศ.1902 มีจำนวนคริสเตียน 323 คน ในปี ค.ศ.1913 มีสมาชิก 622 คน และมีคริสตจักรจำนวน 13 แห่ง พันธกิจในช่วงนี้มีคณะมิชชั่นใหม่ ๆ เข้ามาทำการในประเทศไทยมากขึ้นเช่น ในปี ค.ศ. 1889 สมาคมพระคริสตธรรมสหรัฐอเมริกา ส่ง John Carington มาเป็นเลขาธิการหอพระคริสตธรรมไทยและลาวเพื่อจัดพิมพ์และแจกจ่ายพระคัมภีร์ ปัจจุบันคือสมาคมพระคริสตธรรมไทย (Thailand Bible Society) สาเหตุที่ทำให้งานประกาศเผยแพร่เจริญก้าวหน้าในยุคนี้เพราะพลังและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้นำฝ่ายวิญญาณจิตที่เข้มแข็งทุ่มเทเอาจริงเอาจังในงานรับใช้ ผู้นำที่มีอิทธิพลในยุคนี้คือ ท่าน ดร.ดาเนียล แมคกิลวารี, ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน,ศาสนาจารย์ยูจีน ดันแลป และมิชชันนารีอีกหลายสิบคน ดร.ดาเนียล แมคกิลวารี เป็นมิชชันนารีบุกเบิกในการประกาศและก่อตั้งคริสตจักร ท่านใช้ยุทธวิธีการประกาศแบบสัญจรเดินทางประกาศเทศนา สอนพระคัมภีร์ จัดตั้งศูนย์อบรมผู้นำท้องถิ่นตลอดหัวเมืองภาคเหนือของประเทศไทย ลาว พม่า และจีน ดร.เคนเนท แวลส์ กล่าวถึงท่านแมคกิลวารีว่า “ท่านเป็นมิชชันนารีที่ทำงานในประเทศไทยนานถึง 53 ปี ไม่มีมิชชันนารีคนใดทำงานนานเท่านี้”
ในตอนปลายของยุคนี้พันธกิจของคริสตจักรโปรเตสแตนท์มีความเข้มแข็งมาก แต่การเจริญเติบโตกลับหยุดนิ่งไม่เหมือนช่วงต้นยุค จากปี ค.ศ.1913 คริสเตียนคณะเพรสไบทีเรียนมีจำนวน 6,929 คน และในปี 1940 มี คริสเตียนราว 9,399 คนแสดงว่าระหว่าง ปี 1914-1940 มีคริสเตียนเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.7 ทั้ง ๆ มีผู้รับบัพติสมาใหม่ระหว่างนั้นทั้งหมด 16,132 คน สาเหตุที่ทำให้คริสตจักรหยุดชะงักการเจริญเติบโต อาจารย์Alex Smith ได้วิเคราะห์ว่ามีปัจจัยอยู่สองอย่าง คือปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายในคือ ปัญหาการเลี้ยงดูและขาดการเสริมสร้างสมาชิกด้วยพระวจนะพระเจ้า เพราะผู้นำทั้งหลายทั้งมิชชันนารีและผู้นำคนไทยหันไปสนใจงานองค์การมากกว่าการดูแลคริสตจักร เนื่องจากมิชชันนารีเปลี่ยนนโยบายหันมาเน้นการทำพันธกิจด้านการศึกษามากขึ้น โดยตั้งโรงเรียนของมิชชันนารีขึ้นหลายสิบแห่งจากตัวเลขของจำนวนโรงเรียนที่มิชชันนารีก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1911 มีโรงเรียนของมิชชั่น 37 แห่งและถึงปี ค.ศ.1938 จำนวนโรงเรียนเพิ่มถึง 65 แห่ง ดังนั้นโรงเรียนเหล่านี้จึงดึงเอาบุคลากรคริสตจักรไปเป็นจำนวนมาก นอกจากงานด้านการศึกษาแล้วคณะมิชชั่นยังได้ทุ่มเทงบประมาณมากมายสร้างโรงพยาบาลของมิชชั่นขึ้นซึ่งเป็นการเน้นพันธกิจด้านสังคมสงเคราะห์มากกว่าการทำพันธกิจด้านคริสตจักร ไม่ปรากฏว่ามีการทุ่มเทสร้างโรงเรียนฝึกผู้นำอย่างจริงจังในยุคนี้
ส่วนปัจจัยภายนอกมาจากกระบวนการชาตินิยมซึ่งมองว่ามิชชันนารีถือเป็นตัวแทนของอารยธรรมตะวันตกกระบวนการชาตินิยมจึงเกิดขึ้นประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นเวลาของเศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำ มิชชันนารีขาดเงินทุนสนับสนุน จึงมีผลกระทบต่อการทำพันธกิจในประเทศไทย
หลังจากมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนทำงานอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยมาครบศตวรรษในปี ค.ศ. 1930 มีการจัดตั้งสยามคริสต์สภา(Siam Christian Council)เป็นการรวบรวมกลุ่มพันธกิจต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งต่อมาคือ “สภาคริสตจักรในประเทศไทย” (ค.ศ.1934) นอกจากนี้ยังมีคณะมิชชั่นกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น เช่น คณะเซเว่นเดย์ แอ็ดแวนติส เริ่มงานปี ค.ศ.1918 โดยเน้นพันธกิจด้านการศึกษาและการแพทย์ทำงานกับชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ คณะChristian Missionary Alliance (CMA) เข้ามาปี ค.ศ.1929 ทำงานที่ภาคอีสานของประเทศไทย คณะนี้ได้ก่อตั้งสถาบันพระคริสตธรรมสองแห่งที่จังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ยังมีมิชชั่นนารีอิสระที่เข้ามาอีกบ้าง ทำให้มีคริสเตียน นอกเหนือจากคณะเพรสไบทีเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่า แต่การขาดแคลนผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณยังเป็นปัญหาของคริสตจักรไทย แม้มิชชันนารีจะมีการสร้างอบรมผู้นำท้องถิ่นให้ขึ้นมารับผิดชอบพันธกิจบ้างแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ พันธกิจใหม่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการประกาศ เป็นสิ่งที่ดีถ้าได้มีการเตรียมบุคลากรไว้รองรับสำหรับพันธกิจนั้น ๆ อย่างเพียงพอและน่าเสียดายที่ผู้รับใช้ในคริสตจักร ศิษยาภิบาลต้องถอนตัวจากคริสตจักรไปรับใช้ในองค์การ สถาบัน หรืองานด้านสงเคราะห์ ทำให้การขยายคริสตจักรในปลายยุคนี้ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร

สี่ ยุคยืนหยัดและรื้อฟื้นพันธกิจ (ค.ศ.1941-1980)
ระหว่างปี 1938-1939 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพคริสตจักรไทยอยู่ในช่วงซบเซาดังที่ได้กล่าวแล้วพระเจ้าทรงให้มีการฟื้นฟูจิตวิญญาณคริสตจักรที่กำลังร่วงโรยและอ่อนกำลังลงโดยการฟื้นฟูของ ดร.จอห์น ซง นักเทศน์นักประกาศชาวจีนในระหว่าง 2 ปีนี้ มีคริสเตียนตามบรรพบุรุษได้กลับใจบังเกิดใหม่มากมาย พวกที่หลงหายกลับเข้ามาถูกสร้างใหม่อีกครั้ง ดูเหมือนเป็นการเตรียมชีวิตคริสเตียนเหล่านี้ ให้เข้มแข็งก่อนการเผชิญหน้ากับสงครามที่จะเกิดขึ้นในปีถัดมา การยึดครองของญี่ปุ่นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 โดยการบังคับขู่เข็ญเป็นเหตุให้คริสเตียนจำนวนมากมายได้หันกลับไปนับถือศาสนาเดิม คริสเตียนหลายร้อยคนที่เป็นครูและเป็นข้าราชการ ได้ปฏิเสธความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และยังมีศาสนาจารย์บางคนได้ปฏิเสธการติดตามพระเจ้าในเวลาแห่งความยากลำบาก ผู้ประกาศมิชชันนารีบางคนถูกเจ้าหน้าที่จับขังคุกและถูกริบทรัพย์สิน การกดขี่ข่มเหง ช่วงญี่ปุ่นเข้ายึดครองจำนวนคริสเตียนเหลือต่ำกว่า 6,000คน แต่ก็มีผู้นำบางคนเลือกยืนอยู่ฝ่ายพระคริสต์ แม้ถูกจับติดคุกรับความทุกข์ทรมานก็ไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูคริสต์
การที่ผู้เชื่อจำนวนมากมายได้ปฏิเสธความเชื่อในพระเจ้า มีเหตุผลจากภายในที่เป็นข้อคิดสำหรับคริสตชนรุ่นหลังคือ ช่วงก่อนหน้านี้คริสตจักรขาดผู้เลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณ ศิษยาภิบาล มิชชันนารีได้ละทิ้งงานคริสตจักรไปทำงานโรงเรียนและโรงพยาบาลเป็นเหตุให้คริสตสมาชิกขาดความรู้ในพระวจนะพระเจ้า สถาบันพระคริสตธรรมควรสอนหลักข้อเชื่อ การวางใจในพระเจ้า และการยืนหยัดเพื่อพระเจ้าให้กับนักศึกษาและคริสตจักรควรสอนคริสตสมาชิกให้เข้มแข็งในความเชื่อเพื่อพวกเขาจะมีจิตสำนึกที่เข้มแข็งและมั่นคง เมื่อเขาเผชิญความทุกข์ยาก เขาจะไม่ปฏิเสธความเชื่อ
ระหว่างสงคราม คริสตจักรหยุดชะงักการเจริญเติบโตดังที่ได้กล่าวแล้ว แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลงคริสตจักรเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง มีปัจจัยสองด้านที่ทำให้คริสตจักรรับการรื้อฟื้นคือ ปัจจัยที่มาจากภายใน โดยผู้นำคริสเตียนไทยที่กล้าหาญหลายคน เช่น อาจารย์บุญมาก กิตติสาร อาจารย์พ่วง อรรฆภิญญ์ และอาจารยสุข พงศ์น้อย เป็นต้น เริ่มออกเยี่ยมเยียนและหนุนใจผู้เชื่อและคริสเตียนที่กระจัดกระจาย เริ่มมีการศึกษาพระคัมภีร์สั่งสอนหลักข้อเชื่อและการดำเนินชีวิต ทำให้หลายคนกลับมาหาพระเจ้า ผู้นำคริสเตียนหลายคนสารภาพบาปกลับใจใหม่สู่ความเชื่ออีกครั้ง คริสตจักรหลายแห่งได้รับการฟื้นฟู โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศไทยคริสเตียนหลายคนถวายตัวรับใช้พระเจ้า ออกไปเป็นพยานประกาศแก่เพื่อนบ้าน ผลปรากฏว่า ในปี ค.ศ.1947 สภาคริสตจักรในประเทศไทย มีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 11,756 คน นี่เป็นความก้าวหน้าโดยแรงกระตุ้นจากภายในของคนไทยเพราะระหว่างสงครามมิชชันนารีเดินทางกลับประเทศของตนเกือบหมด ปัจจัยภายนอกที่มีส่วนทำให้คริสตจักรไทยรับการกระตุ้นคืน การกลับมาของมิชชันนารีบางคณะและองค์การพันธกิจต่าง ๆ ได้หลั่งไหลเข้ามาเสริมกำลังคริสเตียนไทย ประกอบกับการปิดประเทศของจีนทำให้องค์กรมิชชันนารีหลั่งไหลเข้ามาประเทศไทยเป็นอันมาก ระหว่างปี ค.ศ.1940-1980 มีองค์การมิชชั่นใหม่ ๆ ถึง 37 องค์กรเข้ามา อาทิเช่น
Thailand Southern Baptist Mission 1948 ,
American Baptist Mission (reentered)1952 ,
Marburger Mission 1953 ,
Presbyterian Church in Korea (K.I.M.) 1956 ,
Pentecostchurch of Norway 1940,
Worldwide Evangelistic Crusade 1947 ,
Finninsh Free Foreign Mission 1948 ,
American church of Christ Mission to Thailand 1949,
Oversea Missionary Fellowship 1951,
New Tribes Mission 1951,
Thailand Child Evangelism Fellowship 1951,
Pentecost Assemblies of Canada 1960,
American Assemblies of God 1968,
Far East Broadcasting Company 1969
ในปี ค.ศ. 1969 หัวหน้าคณะมิชชันนารีองค์กรต่าง ๆ เหล่านี้ซึ่งมิได้สังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทยได้ร่วมมือกันกับคณะผู้นำคริสตจักรไทยตั้งองค์กร”สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย”(The Evangelical Fellowship of Thailand) ขึ้นและได้จดทะเบียนกับกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การรับรองสิทธิทางกฎหมายและวีซ่าเข้าประเทศแก่มิชชันนารี ประธานคนแรกของสหกิจฯ คือ ศาสนาจารย์สุข พงษ์น้อย สำหรับองค์กรมิชชันนารีใหม่ที่เข้ามาภายหลัง ส่วนใหญ่จดทะเบียนอยู่ภายใต้องค์การนี้
ในปี ค.ศ.1970 เกิดการเคลื่อนไหวฝ่ายวิญญาณจิต เป็นครั้งแรกที่ผู้นำคริสตจักรไทยและมิชชันนารีประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนการประกาศพระกิตติคุณในประเทศไทยภายใต้ชื่อการประชุมคองเกรส ครั้งที่ 1 ที่สวางคนิวาส จังหวัดสมุทรปราการ มีผู้แทนเข้าร่วม 245 คน ปีต่อมา ค.ศ.1971 ได้กำเนิดคณะกรรมการเพิ่มพูนคริสตจักรแห่งประเทศไทย (TCGC) ขึ้น เพื่อการจัดอบรมสัมมนาส่งเสริมการประกาศ การก่อตั้งคริสตจักรและการอบรมผู้นำคริสตจักรทั้วประเทศไทย ได้ส่งเสริมให้มีการสัมมนาใหญ่ ๆ หลายครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เช่น ปี ค.ศ.1971 สัมมนาโดย Dr.Donald Mc Gavran ปี ค.ศ.1976 โดย G.D.James, ปี 1978 โดย J.Oswald Sanders,และปี 1979 โดย Philip Teng เป็นต้น
ปี 1978 คริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย จัดงานฉลองครบรอบ 150 ปีขึ้นที่กรุงเทพฯ สถิติจำนวนคริสเตียนเพิ่มขี้นเป็น 58,953 คน เปรียบเทียบเป็น 0.13% ของประชากรไทยมีคริสตจักรจำนวน 627 แห่งและกลุ่มคริสเตียนอีกประมาณ 560 แห่ง ผู้นำคริสตจักรทำหน้าที่อภิบาลดูแลคริสตจักรจำนวน 446 คนและมิชชันนารีจากต่างประเทศจำนวน 967 คน

ห้า พันธกิจคริสตจักรยุคใหม่ (หลังฉลอง 150 ปี คริสตจักรโปรเตสแตนท์)
หลังปี ค.ศ.1978 เป็นต้นมาพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทยมีการตื่นตัวและขยายออกไปอย่างกว้างขวางนับแต่การเข้ามาของคริสตจักรคณะแพนเตคอส และคาริสเมติกที่มีการนมัสการแบบเร้าใจ เน้นฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ การร่วมมือกันของคริสเตียนต่างคณะนิกายในการทำพันธกิจ การใช้วัสดุอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือทำพันธกิจ การเชื่อมโยงกับพันธกิจอื่น ๆ ทั่วโลกเป็นเหตุให้คริสตจักรเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจำนวนคริสเตียน องค์การ สถาบัน หน่วยงานส่งเสริมการประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐ งานด้านสาธารณะสุขและงานสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิคริสเตียนบริการ ศูนย์อบรมพระคริสตธรรม สถาบันศาสนศาสตร์เกิดขึ้นมากมาย
ปี ค.ศ.1998 คริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทยมีการเจริญเติบโตขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติปี ค.ศ.1978 ตัวเลขจำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศไทย รวมทั้งคาทอลิกมีจำนวน 991,600 คน หรือประมาณ 1.6% ของจำนวนประชากร (สถิติ ปี 2542)
( 1 ) การเคลื่อนไหวของกลุ่มเพนเตคอสและคาริสเมติก คริสตจักรที่เจริญเติบโตในปัจจุบันส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคณะเพนเตคอสและคาริสเมติก อาทิเช่น คริสตจักรในกลุ่มคริสเตียนสัมพันธ์ (Assemblies of God) ภายใต้การนำของ ศจ.ดร.วีรชัย โกแวร์ มีคริสตจักรร่มเย็นเป็นคริสตจักรแม่มีสมาชิกกว่า 800 คน มีคริสตจักรลูกในเครือพันธกิจร่มเย็นและภายใต้คริสเตียนสัมพันธ์รวมกว่า 100 แห่ง
คริสตจักรคณะเพนเตคอสในกลุ่มพระกิตติคุณสมบูรณ์มี 3 คณะด้วยกัน คือ คณะ FFFM ทำงานในเขต ภาคเหนือและบางส่วนของภาคอีสาน ส่วนกลุ่มสแกนดิเนเวียน ทำพันธกิจในภาคใต้ และคณะเพ็นเตคอส ออฟ แคนนาดา ทำในกรุงเทพฯ ได้ก่อตั้งคริสตจักรใจสมานต่อมาพันธกิจขยายไปหลายที่ ปัจจุบันคริสตจักรแห่งนี้มีสมาชิกกว่า 1,500 คน และมีคริสตจักรในเครืออีกกว่า 100 แห่ง
ปี ค.ศ.1979 ศาสนาจารย์วัลย์ เพชรสงคราม นักประกาศนักฟื้นฟูอดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเรียนคริสต์ศาสนาศาสต์แบ๊บติสต์ ได้ก่อตั้งคริสตจักรร่มเกล้าในแนวคาริสเมติก คริสตจักรเจริญเติบโตเร็วภายใน 8 ปี มีสมาชิกกว่า 1,000 คน ปี ค.ศ.2000 มีคริสตจักรลูกอีกหลายสิบแห่ง
ปี ค.ศ.1982 คริสตจักรความหวังกรุงเทพ แนวคาริสเมติกได้ก่อตั้งขึ้นด้วยสมาชิก 17 คนด้วยบุคลิกการเป็นนักเทศน์เร้าใจและอรรถาธิบายพระคัมภีร์ของผู้ก่อตั้ง เน้นการนมัสการในรูปแบบคาริสเมติกด้วยอุดมการณ์ที่จริงจัง ก่อตั้งคริสตจักร ในทุกอำเภอของประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมีองค์กรมิชชันนารีใหม่ ๆ เข้ามาทำการทั้งมีสังกัด และไม่มีสังกัด คริสตจักรอิสระเกิดขึ้นมากมายด้วยเช่นกัน
อิทธิพลของการนมัสการร่วมสมัยในรูปแบบการนมัสการด้วยบทเพลงสั้น การใช้ดนตรีสากลด้วยท่วงทำนองที่เร้าใจ และการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่มาประกอบการนมัสการพระเจ้าจากคริสตจักรกลุ่มคาริสเมติก เพนเตคอสได้แพร่หลายไปในคริสตจักรกลุ่มอื่น ๆ แม้คริสตจักรในกลุ่มเพรสไบทีเรียน หรือแบ๊บติสต์บางแห่งได้ยอมรับวิธีการและรูปแบบไปใช้ในคริสตจักรของตน
(2) พลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังการฉลองครบรอบ 150 ปี คริสตจักรไทยในฝ่ายโปรเตสแตนท์ (ค.ศ.1828-1978) การทำพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทยมีการร่วมมือกันค่อนข้างดี ในการประชุมเพื่อการประกาศพระกิตติคุณทั่วไทยหรือคองเกรส ครั้งที่ 3 ปี ค.ศ.1988 หัวข้อ “สร้างสาวกทั่วไทย” มีการรวมตัวกันจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานคริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย ” หรือเรียกว่า “กปท”(Thailand Protestant Churches Coordinating Committee)หรือ (TPCCC) ขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นความร่วมมือขององค์การคริสเตียน 3 องค์กร คือ สภาคริสตจักรในประเทศไทย (CCT) สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (EFT ) และสหคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทย( TBCA) ทั้งสามเป็นองค์กรจดทะเบียนภายใต้กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันกรมการศาสนาย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) โดยมีวัตถุประสงค์คือการประสานงานและส่งเสริมการทำพันธกิจร่วมกัน ทุก ๆ 5 ปีจะจัดให้มีการพบปะเพื่อการประกาศพระกิตติคุณทั่วประเทศไทย ซื่งจัดมาแล้ว 6 ครั้ง ปี 2009 จะจัดเป็นครั้งที่ 7 เดือนพฤษภาคม คาดว่าจะมีผู้มาร่วมงานกว่า 2,000 คน คณะกรรมการกปท.มีเป้าหมายร่วมกันรณรงค์ ประกาศพระคริสต์ทั่วไทย โดยหวังว่ามี 2010 จะมีคริสตจักรตั้งขึ้นในทุกอำเภอ ทุกตำบลมีกลุ่มคริสเตียนและทุกหมู่บ้านได้ยินข่าวประเสริฐของพระคริสต์

ขอสรุปพันธกิจขององค์กรหลักในปัจจุบันมีดังนี้
(ก) สภาคริสตจักรในประเทศไทย เป็นองค์กรใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ขณะนี้พันธกิจภาจใต้องค์กรนี้ขยายแบบช้า ๆ แต่มั่นคง สภาคริสตจักรแบ่งการปกครองแบ่งเป็น 19 ภาค มีหน่วยงานพันธกิจสถาบันศาสนศาสตร์สำหรับการอบรมศิษยาภิบาล และผู้นำ 3 แห่ง โรงเรียนคริสเตียน 30 แห่ง วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย 3แห่ง โรงพยาบาลคริสเตียน 7 แห่ง ปัจจุบันสภาคริสตจักรมีสมาชิก 170,218 คน คริสตจักรรวม 844 แห่ง ปัจจุบันมี ศจ.วิรัช โกยดุลย์ เป็นประธานกรรมการ
(ข) สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย เป็นองค์การที่มีความหลากหลาย มีคณะมิชชันนารีต่างประเทศ 40 องค์กร ด้วยจำนวนมิชชันนารีมากถึง 825 คน มีองค์กรย่อย หน่วยงาน สถาบันในสังกัดรวม 170 แห่ง คริสตจักรทั่วประเทศและสถานประกาศ 1,400 แห่ง สถาบันพระคริสตธรรมทุกระดับจำนวน 49 แห่ง คริสตสมาชิกในสังกัดถ้ารวมสมาชิกที่เป็นเด็กและเยาวชนด้วยควรจะมี 156,455 คน ปัจจุบันมี ศจ.ดร.มาโนช แจ้งมุขเป็นประธานกรรมการ
(ค) สหคิสตจักรแบ๊บติสต์แห่งประเทศไทย เป็นองค์กรย่อยทางศาสนาคริสต์ในสังกัดกรมการศาสนา เป็นองค์กรที่เริ่มพันธกิจในประเทศไทยโดยมิชชันนารีคณะ Southern Baptist ปัจจุบันมีสถาบันศาสนศาสตร์ 1 แห่ง โรงพยาบาลคริสเตียน 1 แห่ง คริสตจักร 92 แห่ง คริสตสมาชิกจำนวน10,000 คน ปัจจุบัน อจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ เป็นประธานกรรมการ
(ง)มูลนิธิคริสตจักรวันเสาร์แห่งประเทศไทย (Seventh – Day Adventists) เป็นองค์กรย่อยของทางศาสนาคริสต์สังกัดกรมการศาสนาเช่นกัน ปัจจุบันมีคริสตจักรจำนวน 95 แห่ง คริสตสมาชิก 12,000 คน โรงพยาบาล 3 แห่ง โรงเรียน 12 แห่ง สถาบันอบรมศาสนศาสตร์ 1 แห่ง ปัจจุบัน ศจ.สมชัย ชื่นจิตร เป็นประธานกรรมการ

สรุปบทเรียน
ขอบคุณพระเจ้าตลอดระยะเวลา 180 ปี (คศ.1828-2008) แห่งการทำพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทยของคณะมิชชันนารี และคริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย อาจจะดูว่าเกิดผลน้อยหากมองกันที่ตัวเลขของผู้นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศไทย หรือเปรียบเทียบกับการประกาศข่าวประเสริฐในประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลี อย่างไรก็ตามเมื่อเรามองย้อนหลังประวัติศาสตร์คริสตจักรไทย มีองค์ประกอบและข้อคิดมากมายที่คริสตชนรุ่นหลัง มิชชันนารีรุ่นใหม่ผู้รับใช้พระเจ้า นักศึกษาพระคริสตธรรมจะนำมาเป็นบทเรียน และเป็นแบบในการทำ พันธกิจของพระเจ้าในปัจจุบันและอนาคต
(1) ภาระใจต่อจิตวิญญาณที่หลงหาย คณะมิชชันนารีตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักรไทยส่วนใหญ่มาทำพันธกิจด้วย นิมิตและภาระใจเพื่อให้คนไทยได้รับข่าวประเสริฐ และรับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ พวกเขามีทั้งความรักและความหวังใจแม้ว่าเกือบ 30 ปีแรกกับการประกาศในแผ่นดินนี้จะไม่มีใครตอบสนอง และกลับใจก็ตาม พวกเราคนรุ่นใหม่ต้องช่วยกันสร้างและสอนผู้เชื่อให้มีนิมิตและภาระใจ รักห่วงใยจิตวิญญาณที่หลงหาย คริสตจักรและศิษยาภิบาลต้องหนุนใจสมาชิกให้มีใจรัก และร้อนรนในการนำวิญญาณเหมือนมิชชันนารีรุ่นแรกๆ
(2) คณะมิชชันนารีและผู้ร่วมงานทั้งหลายส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่าง ๆ เพราะเมื่อมาทำการพวกเขาเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคมความรู้ด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ภาษาอังกฤษ ด้านครู เป็นเครื่องนำทางสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ จะเห็นได้จากการสร้างโรยพยาบาลและโรงเรียนคริสเตียนของคณะมิชชั่น ซึ่งเป็นมรดก เป็นพระพรสำหรับหน่วยงานคริสเตียนในปัจจุบันขอบคุณพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีคริสเตียนไทยมากมายที่มีความรู้ ความสามารถ ระดับการศึกษาสมัยสูง มีเกียรติในสังคม หากยอมถวายตัวให้พระเจ้าใช้จะมีอิทธิพลต่อสังคมมาก สังเกตได้จากสถาบันพระคริสตธรรมปัจจุบันมีนักศึกษาระดับปริญญาโทเข้าศึกษามากขึ้น มีนักศึกษาที่จบการศึกษาจากวิชาชีพต่าง ๆ มากขึ้น เราควรหนุนใจให้คนเหล่านี้นำวิชาชีพไปใช้ควบคู่กับการรับใช้พระเจ้า บางคนอาจรู้สึกเสียดายที่ทิ้งวิชาชีพของตน มาเรียนศาสนศาสตร์และรับใช้พระเจ้า ปัจจุบันสตรีจำนวนมากถวายตัวรับใช้พระเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แท้จริงไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง สามารถร่วมรับใช้พระเจ้าได้ดีเช่นกันในสมัยรัชกาลที่3-4มิชชันนารีเข้ามาทำการในประเทศไทยจำนวน 85 คน เป็นชาย 42 คนเป็นหญิง 43 คนซึ่ง 39 คนเป็นภรรยาของมิชชันนารี อีก 4 คน เป็นคนโสด หรือแต่งงานกับมิชชันนารีภายหลัง
(3) ดูเหมือนว่าที่คณะมิชชันนารีผู้ทำการรุ่นก่อน ๆ ทำงานด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกผู้นำคนไทยในท้องถิ่น ให้เป็นผู้ร่วมงานหรือมอบหมายให้รับผิดชอบ ดังคำกล่าวของ ดร. ดาเนียล แมคกิลวารี ที่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของพวกมิชชันนารีที่ไม่ได้ฝึกผู้นำท่านกล่าวว่า “เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดที่ต้องสารภาพคือพวกมิชชันนารีทำงานด้วยตัวเองมากเกินไปจึงไม่ได้ฝึกคนอื่นให้ช่วยรับผิดชอบ” แต่ก็ยังขอขอบคุณมิชชันนารีที่ได้มาประกาศในประเทศไทย แม้ในปัจจุบันมีมิชชันนารีเกือบ 1,500 คน ที่ทำการอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ การอบรมผู้นำสำหรับคนไทยจึงมีความจำเป็นมาก เพราะมิชชันนารีถูกจำกัดสิทธิและขอบเขตในการทำงาน และเคยมีนโยบายจากรัฐบาลที่จะลดจำนวนลงปีละ 10% การอบรมผู้นำระดับสูงทดแทนงานมิชชันนารีเป็นเรื่องจำเป็นในเรื่องนี้อาจารย์ทัง มิชชันนารีคณะ OMF ได้เขียนไว้ในบทสรุปวิทยานิพนธ์ของเขาว่า “มิชชันนารีไม่สมควรที่จะลงมือทำงานด้วนตัวของเขาเองเท่านั้น แต่สมควรที่จะสร้างผู้อื่นให้ทำงานร่วมกับเขาและแทนเขาโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในคริสตจักรควรพัฒนาเขา จนเขาได้พัฒนาคนอื่น ๆ ต่อไป”
George Santayana กล่าวว่า “ผู้ไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็มักทำผิดซ้ำรอยเดิม”เหมือนภาษิตไทยว่า “ประวิตศาสตร์ซ้ำรอย”ถึงเวลาแห่งความร่วมมือกันของคริสตจักรไทยทุกคณะ ทุกนิกาย ต้องร่วมมือกัน 180 ปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่น่าขอบคุณพระเจ้า และน่าศึกษาอย่าให้เราเป็นเพียงผู้ศึกษาประวัติศาสตร์แต่ให้เรามาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ที่คริสตจักรเจริญก้าวหน้าทั้งด้านปริมาณและคุณภาพชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ผู้อยากประสบความสำเร็จ

โดย ออรัล โรเบิร์ต
ที่มา หนังสือ ชีวิตที่เหลือเชื่อ

ครั้งหนึ่ง มีเด็กหนุมคนหนึ่ง (ผมจะเรียกเขาว่า จิม ) ผู้ต้องการประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จิม รู้จักชายชราคนหนึ่งในเมืองนี้ ( มร.สมิธ) ผู้ซึ่งมีอิทธิพลที่สุด ร่ำรวยที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุด และเขาอยากพบกับสภาพบุรุษชราอย่างมาก
วันหนึ่ง เมื่อมาถึงจุดตกปลาที่เขาชอบที่สุด จิมเห็น มร.สมิธ กำลังตกปลาอยู่ใกล้ๆ
เขาจึงเดินเข้าไปหา และพูดว่า " มร.สมิธ ผมชื่อจิม ผมตกปลาข้างคุณได้ไหมครับ "
มร.สมิธตอบว่า พ่อลูกชาย นั่งลงตรงนั้นแหละ และเป็นแขกของผม
ครู่หนึ่งผ่านไป จิมจึงพูดขึ้นว่า " ท่านครับ ผมอยากจะประสบความสำเร็จมาตลอดชีวิต และท่านเป็นผู้ชายคนเดียวที่ประสบความสำเร็จที่ผมได้พบ ท่านบอกผมได้ไหมครับว่า ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ?"
ชายชราตอบว่า " ได้ ยืนขึ้นสิ " เขาผลักจิมตกไปในน้ำ คว้าผมของเขาขึ้นและกดลงไปอีก
ชั่วแวบหนึ่ง มร.สมิธ ดึงหัวจิมขึ้นมา เมื่อเด็กชายพยายามที่จะหายใจแล้วก็กดหัวของจิมลงใต้น้ำอีก ดึงเขาขึ้น และดูเขาขณะที่เขาพยายามจะหายใจ
ครั้งที่3 มร.สมิธกดจิมลงไป และกดเขาไว้เช่นนั้น กระทั่งรู้ว่าควรจะเอาเด็กชายขึ้นมาไม่เช่นนั้นเขาจะจมน้ำตาย เมื่อจิมขึ้นมา เขาพยายามหายใจ มร.สมิธ พูดกับเขาในที่สุดว่า " พ่อลูกชาย หนูรู้ไหมว่า หนูต้องการลมหายใจเฮือกสุดท้ายนั้นมากขนาดไหน เมื่อหนูต้องการความสำเร็จเหมือนที่ต้องการลมหายใจเฮือกสุดท้ายนั้น หนูจะประสบความสำเร็จ "