วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความจริงของการแปลพระคัมภีร์ไทย


เขียนโดย อจ.ประณต บุษกรเรืองรัตน์
มีคริสตชนหลายท่านได้สนใจไต่ถามว่าสมาคมพระคริสตธรรมไทยมีหลักการและขั้นตอนในการแปลพระคัมภีร์อย่างไร สมาคมฯ จึงขอใช้อธิบายหลักการที่สำคัญๆ ของการแปลพระคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐานของสมาคมพระคริสตธรรมไทย สรุปได้ดังนี้...
1. แปลจากสำเนาต้นฉบับภาษาฮีบรูและกรีกโดยผู้เชี่ยวชาญ พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาษาไทยของสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นฉบับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรไทยและคริสตชนไทยมาช้านาน (ตั้งแต่ฉบับ ค.ศ. 1940) แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดกันว่าพระคัมภีร์ไทยของสมาคมฯ แปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษ ในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อพระคัมภีร์ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยนั้น คณะผู้แปลซึ่งประกอบด้วยมิชชันนารีชาวต่างชาติและผู้ทรงคุณวุฒิคนไทยได้ยึดสำเนาพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูในการแปลพันธสัญญาเดิม และสำเนาภาษากรีกในการแปลพันธสัญญาใหม่เป็นหลัก โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทยได้เชิญผู้แปลที่มีความรู้ภาษาฮีบรูและกรีกเป็นอย่างดี เป็นนักวิชาการพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียง และหากเป็นชาวต่างชาติก็ต้องมีความรู้ภาษาไทยเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น กรรมการยกร่างคำแปลฯ ของฉบับ 1971 ประกอบด้วย ศาสนาจารย์ศรัณย์ ชัยรัตน์ อดีตคณบดีคณะศาสนศาสตร์แมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ พร้อมทั้งผู้ร่วมงานของท่านคือ ดร.เฮอร์เบิร์ต เกรเธอร์ และ ศาสนาจารย์ฟรานซิส ซีลี ทั้งหมดเป็นนักภาษาฮีบรูและกรีกที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย จวบจนกระทั่งปัจจุบัน สมาคมพระคริสตธรรมไทยกำลังทำการแก้ไขคำแปลพระคัมภีร์ฉบับ 1971 ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคณะผู้แปลในปัจจุบันก็เป็นนักภาษาฮีบรูและกรีกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน หลายท่านเป็นอาจารย์สถาบันพระคริสตธรรม บางท่านมีผลงานการแปลตำรา เขียนตำราที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการคริสเตียน ซึ่งสามารถเปิดเผยนามของท่านเหล่านี้ได้ สมาคมฯ ภาคภูมิใจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานภาระใจให้นักวิชาการเหล่านี้มาร่วมกันทำให้พระวจนะของพระองค์ได้รับการแปลอย่างถูกต้องและเป็นที่เข้าใจของผู้อ่านมากยิ่งขึ้น
คณะผู้แปลพระคัมภีร์ของสมาคมฯ ในปัจจุบัน
o ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย M.Div. (Gordon-Conwell Theological Seminary, South Hamilton, Massachusettes, USA), Ph.D. (University of Edinburgh, Scotland) เลขาธิการสมาคมพระคริสตธรรมไทย และอาจารย์พิเศษสถาบันกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ (BIT)
o ดร. วรรณภา เรืองเจริญสุข Th.M. (Trinity Evangelical Divinity School, Deerfield, Illinois,USA), D.Min. (Columbia International University, Columbia, South Carolina, USA)หัวหน้าฝ่ายวิชาการ พระคริสตธรรมเชียงใหม่ (CTS) และอาจารย์พิเศษ วิทยาลัยพระคริสตธรรมแมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ
o ศาสนาจารย์โรเบิร์ต คอลลินส์ M.Div., Th.M. (Pittsburgh Theological Seminary, Pennsylvania, USA)อาจารย์พิเศษหมวดพันธสัญญาใหม่ วิทยาลัยพระคริสตธรรมแมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพ
o อาจารย์ทองหล่อ วงศ์กำชัย วศ.บ. (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), Dip.Th. (Discipleship Training Center, Singapore)อดีตหัวหน้าฝ่ายแปล สมาคมพระคริสตธรรมไทย และอาจารย์พิเศษโรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์
o อาจารย์ปัญญา โชชัยชาญ ศศ.บ ภาษาอังกฤษ (มหาวิทยาลัยรามคำแหง), M.Div. (สถาบันบัณฑิตคริสตศาสนศาสตร์เมืองไทย)ฝ่ายแปล สมาคมพระคริสตธรรมไทย และอาจารย์พิเศษโรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์
o อาจารย์พัชรินทร์ ชัชมนมาศ M.Div., D.Min. candidate (Bethel Theological Seminary, St. Paul, Minnesota, USA)ผู้บริหารองค์การแคมปัสครูเสดฟอร์ไครสต์ (CCC)
2. แปลจากสำเนาพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูและกรีกที่ได้มาตรฐาน สำเนาพระคัมภีร์ภาษาเดิมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานในการแปลพระคัมภีร์ คือ UBS Greek New Testament, 4th Edition สำหรับภาษากรีก และ Biblia Hebraica Stuttgartensia (BHS) สำหรับภาษาฮีบรู ทั้งสองเล่มเป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมพระคริสตธรรมเยอรมันซึ่งเป็นสมาชิกของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (United Bible Societies หรือ UBS) เช่นเดียวกับสมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคัมภีร์ไทยจึงใช้พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูและกรีกทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นต้นฉบับในการแปล ดังนั้น พระคัมภีร์ไทยของสมาคมฯ จึงมาจากพระคัมภีร์ในภาษาเดิมอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
3. มีระบบขั้นตอนการแปลที่มีมาตรฐานสูง นอกเหนือจากการแปลจากภาษาฮีบรูและกรีกโดยผู้เชี่ยวชาญ และการใช้สำเนาพระคัมภีร์ภาษากรีกและฮีบรูที่ได้มาตรฐานแล้ว สมาคมพระคริสตธรรมไทยทำงานภายใต้มาตรฐานการแปลพระคัมภีร์ของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (UBS) ซึ่งเป็นองค์กรการแปลพระคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก และสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกนั้น ด้วยการแปลภายใต้มาตรฐานของสหสมาคมฯ ยังผลให้ พระคริสตธรรมคัมภีร์ของสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นหนังสือภาษาไทยที่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุดก็ว่าได้ กล่าวคือ มีระบบและขั้นตอนการทำงานดังนี้ เมื่อผู้แก้ไขคำแปล (Revisers) แต่ละท่านได้แก้ไขคำแปลพระธรรมที่ตนรับผิดชอบเสร็จ ก็จะให้ผู้แปลอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้แก้ไขคำแปลพระธรรมเล่มอื่น ทำหน้าที่ตรวจไขว้ (Cross-Check) แล้วส่งข้อเสนอแนะให้ผู้รับผิดชอบแก้ไขพระธรรมเล่มนั้นๆ พิจารณา จากนั้นจึงจัดส่งให้กรรมการตรวจสอบ ทำการตรวจอีกครั้งหนึ่งทั้งในด้านอรรถาธิบาย ภาษาที่สื่อชัดเจน และการอ่านรู้เรื่อง เมื่อกรรมการตรวจสอบได้ตรวจสอบเสร็จก็จะส่งกลับมายังผู้รับผิดชอบการแก้ไขคำแปลเพื่อพิจารณา ต่อมาจึงได้ส่งให้หรือพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาการแปล (Translation Consultant) ของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (UBS) ซึ่งมีความรู้ทั้งด้านศาสนศาสตร์และภาษาศาสตร์ และต้องมีวุฒิปริญญาเอกสาขาใดสาขาหนึ่งในสองสาขานี้ เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนนี้จึงส่งให้นักลีลาภาษา (Stylist) ขัดเกลาภาษาไทยแล้วส่งกลับมาให้ผู้แก้ไขคำแปลพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้คณะผู้แปลมีที่ปรึกษา (Advisors) เป็นผู้นำคริสตจักรไทยจำนวน 25 ท่านมีหน้าที่ให้คำเสนอแนะในด้านการแปลที่อาจมีผลกระทบในวงกว้าง เช่น ในเรื่องพระนามเฉพาะของพระเจ้า ดังนั้น สมาคมฯ จึงเชื่อแน่ว่าคำแปลทุกคำได้รับการกลั่นกรองอย่างดี ถูกต้อง และเหมาะสม สมฐานะเป็นคำแปลของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Scripture) บางคนอาจมีคำถามว่า เมื่อพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรูหรือกรีกใช้คำเดียวกัน เพราะเหตุใดสมาคมฯ จึงแปลคำเหล่านั้นไม่เหมือนกันในบางแห่ง สมาคมฯ ขออธิบายดังนี้คือ หลักการแปลประการหนึ่งของสมาคมฯ ก็คือการแปลจะต้องมีความสม่ำเสมอ (Consistency) กล่าวคือคำเดียวกันในภาษาเดิม ก็ควรจะแปลเป็นภาษาไทยด้วยคำเดียวกันตราบเท่าที่บริบท (Context) เอื้ออำนวย เพราะฉะนั้นการแปลจึงขึ้นอยู่กับบริบทด้วย ดังจะเห็นได้ว่าคำเดียวกันในภาษากรีก เช่น “พะนือมา” พระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 แปลเป็นหลายคำในบริบทที่ต่างกัน เช่น ลมหายใจ พวกวิญญาณที่ดี พวกวิญญาณชั่ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ ลม น้ำใจ ใจ เป็นต้น ซึ่งไม่เป็นการผิดหลักการแปลแต่อย่างใด เพราะตามหลักอรรถศาสตร์หรือศาสตร์ของความหมาย (Semantics) แล้ว คำหนึ่งๆ ในภาษาฮีบรูหรือกรีกมีความหมายครอบคลุมหลายคำแปลด้วยกัน ผู้แปลต้องวิเคราะห์ว่าแท้จริงแล้วคำคำหนึ่งในบริบทนั้นๆ จะมีความหมายว่าอย่างไร สมาคมฯ ขอถือโอกาสนี้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขคำแปล (การยกร่าง) พระคัมภีร์ไทยดังนี้คือ พระธรรมสุภาษิตได้ผ่านขบวนการแปลทุกขั้นตอนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเรียงพิมพ์และพร้อมจะจำหน่ายจ่ายแจกในปี 2007 นี้ ส่วนพระธรรมสดุดีอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของที่ปรึกษาการแปล ท้ายที่สุดนี้ ขอให้คริสตชนไทยมั่นใจได้ว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐานของสมาคมพระคริสตธรรมไทย เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับการทรงนำในการแปลจากพระคัมภีร์ในภาษาเดิมอย่างถูกต้อง มีคำแปลที่เหมาะสมสำหรับการอ่านและใคร่ครวญเพื่อความเจริญเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ ขอให้ทุกสิ่งที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้กระทำในพระนามของพระองค์เป็นการถวายพระเกียรติและพระสิริแด่พระเจ้าในที่สูงสุด

ประวัติศาสตร์คริสตจักรไทย

180 ปี โปรเตสแตนท์ในประเทศไทย
โดย ศจ.ดร.มาโนช แจ้งมุข

เนื่องในโอกาสครบรอบ 180 ปี คริสตจักรนิกายโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย ในเดือนสิงหาคม 2008 นี้ จึงขอนำประวัติศาสตร์ย่อคริสตจักรไทยมาเล่าสู่กันฟังเพื่อรำลึกถึงพระคุณพระเจ้าที่มีต่อประเทศไทยและขอสดุดีผู้พลีชีพ เพราะความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งมิชชันนารีและคริสเตียนไทย
จากการศึกษาประวัติศาสตร์คริสตจักรไทยพบว่า ก่อนมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนท์จะเดินทางเข้ามาเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในประเทศไทยในต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีคณะผู้เผยแพร่คริสตศาสนานิกายคาทอลิก เดินทางเข้ามาก่อนแล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า นักเดินเรือ สนใจทำงานกับคนต่างชาติมากกว่าคนไทย การประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ต่อชาวไทยจึงไม่เกิดผลเท่าที่ควร และ ศตวรรษที่ 17 มีหลักฐานที่พอเชื่อถือได้ว่ามีคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนท์ชาวฮอลันดา ในสังกัดคณะลูเธอร์แรนด์ แองลิกัน และคาลวินนิสต์เข้ามาในประเทศไทย แต่ไม่พบร่องรอยของความพยายามในการประกาศเผยแพร่คริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จัดให้มีการประชุมนมัสการพระเจ้าในพวกเดียวกันเองบริเวณค่ายพักของชาวฮอลันดาเท่านั้น
มิชชันนารีชาวโปรตุเกสถือได้ว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1511 ก่อนพวกมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาประเทศไทยในปี ค.ศ.1662 และอีกกลุ่มเข้ามาปี ค.ศ.1688 ตามลำดับ เคนเน็ต แวลล์ กล่าวว่า “สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือ สร้างโบสถ์ แต่งานการเผยแพร่ไม่ได้เกิดผลมากนักตลอด 140 ปี มีคริสตจักรเพียง 6 แห่ง คือในกรุงเทพฯ 4 แห่งและต่างจังหวัดเพียง 2 แห่งเท่านั้น”

พันธกิจคริสตจักรโปรเตสแตนท์
จะขอแบ่งการทำพันธกิจคริสตจักรไทยจากประวัติศาสตร์ในส่วนของคริสตจักรโปรเตสแตนท์ออกเป็น 5 ยุคด้วยกัน การศึกษาในส่วนนี้เป็นเพียงสรุปย่อของบทบาทมิชชันนารีและผู้นำคริสตจักรไทยในประวัติศาสตร์คริสตจักรไทยระหว่าง 180 ปี ซึ่งเน้นเฉพาะบทเรียนหลัก ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาว่าพันธกิจดำเนินไปอย่างไร

หนึ่ง ยุคแห่งการบุกเบิกพันธกิจ (ค.ศ.1816-1851)
ช่วงแรกนี้เป็นช่วงของการบุกเบิกพันธกิจอย่างแท้จริง อุปสรรคที่ขัดขวางการประกาศเผยแพร่นั้นมีมากมาย แต่ด้วยหัวใจของนักบุกเบิกทำให่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้ถูกเผยแพร่ในประเทศไทยมิชชันนารีสองคนแรกคือ นายแพทย์คาร์ล ออกัสตัน เฟรดเดอริค กุ๊ตสลาฟ ศาสนทูตชาวเยอรมันกับศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน มิชชันนารีชาวอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1828 ในรัชกาลของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 แม้ความตั้งใจแรกจะไปประเทศจีน แต่ขณะที่รอคอยและพำนักอยู่ในประเทศไทย พวกเขาได้ใช้เวลาศึกษาภาษาไทยและได้แปลพระคัมภีร์บางส่วนเป็นภาษาไทยสำเร็จลงได้ภายในเวลา 6 เดือน คือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม พระธรรมโรมและยังได้จัดทำพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยเล่มแรก (Aถึง R) ขึ้นด้วย
ในการประกาศพระกิตติคุณกับคนไทยนั้นแท้จริงแล้วเริ่มจากคนไทยที่อาศัยนอกประเทศขณะนั้น โดยครอบครัวของศาสนาจารย์อโดนีรัม จัดสัน มิชชันนารี ชาวอเมริกันซึ่งทำงานอยู่ในประเทศพม่า และภรรยาของท่านชื่อแอนน์ จัดสัน มีภาระใจต่อคนไทยที่เป็นเชลยศึกอยู่ในเมืองมะละแมง ประเทศพม่า ท่านจึงฝึกหัดเรียนภาษาไทยและทำการแปลบทเรียนไปพิมพ์ที่ประเทศอินเดียถือว่าเป็นบทเรียนพระคัมภีร์ภาษาไทยชุดแรกที่ให้คนไทยได้เรียนและศึกษาเรื่องพระเยซูคริสต์ ซึ่งต่อมานายแพทย์บรัดแลย์ ได้ขอซื้อแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยชุดนี้มาทำการพิมพ์ในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ.1835 นับว่าเป็นโรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทยด้วย
มิชชันนารีผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยอย่างมากอีกสองท่านที่จะขอกล่าวคือนายแพทย์แดน บีช บัดเลย์ (ค.ศ.1835) จากสมาคมอเมริกันมิชชันนารีผู้มีประวัติชีวิตและผลงานเป็นคุณอนันต์แก่ประเทศไทยอย่างมาก เป็นแพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนไทยจากโรคร้าย ท่านค้นพบวัคซีนป้องกันฝีดาษและยาฉีดรักษาไข้ทรพิษ(ค.ศ.1840) เป็นผู้ทำการผ่าตัดด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และได้จัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้น ซึ่งสิ่งพิมพ์เหล่านี้ต่อมากลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยด้วย ส่วนงานด้านฝ่ายวิญญาณท่านรักการเทศนาสั่งสอน งานเขียนและแปลพระคัมภีร์ ท่านใช้บ้านเป็นที่พบปะของบรรดามิชชันนารีต่างคณะนิกายเพื่อการประชุมและการอธิษฐาน และอีกท่านหนึ่งคือ ศาสนาจารย์เจสสี คาสเวลล์ (ค.ศ.1840) มิชชันนารีคณะเดียวกันผู้ซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้สอนภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์แด่เจ้าฟ้ามงกุฎ(รัชกาลที่ 4) ขณะเมื่อทรงผนวชอยู่ เนื่องจากการรู้จักเข้าถึงคนและการเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยเป็นเหตุให้ท่านเป็นที่ยอมรับจากบุคคลชั้นสูงและไม่เป็นอุปสรรคต่อการประกาศพระกิตติคุณ
ยังมีมิชชันนารีอีกคณะหนึ่งที่เข้ามาทำการเผยแพร่ในประเทศไทยช่วงแรกนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1833-1893 คือ คณะอเมริกันแบ๊บติสมิชชั่น โดย จอห์น เทเลอร์ โจนส์ ทำงานกับคนไทย งานส่วนใหญ่เป็นการแปลพระคัมภีร์พิมพ์และแจกจ่าย อีกคนหนึ่งคือ วิลเลียม ดีน ซึ่งงานส่วนใหญ่เป็นการประกาศกับคนจีนในประเทศไทย และได้ก่อตั้งคริสตจักรจีนขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1837 ด้วยสมาชิกเพียง 11 คน มีศาสนาจารย์ดีน เป็นศิษยาภิบาล ถือว่าเป็นคริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งแรกในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันคือคริสตจักรไมตรีจิต สังกัดภาค 12 สภาคริสตจักรในประเทศไทย สรุปผลงานของมิชชันนารีอเมริกันแบ๊บติสช่วง 50 ปี แรก มีคริสตจักร 6 แห่ง จำนวนคริสเตียนประมาณ 500 คน คณะนี้ปิดตัวลงในประเทศไทยช่วงแรกปี ค.ศ.1927 เพราะไม่มีมิชชันนารีใหม่มาทำการ

สอง ยุคพันธกิจหยุดชะงักและถดถอย (1851-1883)
ปี ค.ศ.1851 เจ้าฟ้ามงกุฎ (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4) ขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงมี ความโปรดปรานต่อคณะมิชชันนารีมาก และทรงให้ความอนุเคราะห์หลายด้านแก่พวกมิชชันนารี บางคนได้รับเชิญให้เข้าไปสอนภาษาอังกฤษ และวิทยาการสมัยใหม่กับเจ้านายชั้นสูงในพระราชสำนัก
พันธกิจด้านการประกาศพระกิตติคุณ พวกมิชชันนารีมีอิสระมากขึ้นโดยตั้งสถานีมิชชั่นหรือศูนย์พันธกิจ(Mission Station)ขึ้นตามหัวเมืองต่าง ๆ ในภาคกลางที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคใต้ที่จังหวัดเพชรบุรี โดยงานส่วนใหญ่เน้นพันธกิจด้านการแพทย์ โรงเรียน และงานด้านการพิมพ์ จากการสังเกตดูเหมือนว่ามิชชันนารีเหล่านี้ทำงานมากแต่การประกาศพระกิตติคุณกลับได้ผลน้อย
ขณะที่การประกาศข่าวประเสริฐดูเหมือนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่มีอุปสรรคมากมายที่ขัดขวางทำให้การประกาศเป็นไปอย่างล่าช้า การประกาศข่าวประเสริฐเป็นไปด้วยความยากลำบากระยะเวลา 30 ปีหลังจากมิชชันนารีทำการประกาศในประเทศไทยมีคนที่รับเชื่อเป็นสมาชิกคนจีน 13 คน และเป็นคนไทย 28 คนเท่านั้น
อุปสรรคใหญ่อีกประการหนึ่งที่ทำให้การทำพันธกิจของพระเจ้าหยุดชะงักเป็นเหตุให้คณะมิชชันนารีเกิดความท้อถอยคือการข่มเหงและการต่อต้านจากผู้มีอำนาจสมัยนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญยิ่งของคริสตจักรไทยคือในเดือนกันยายน ค.ศ.1869 มีคริสเตียนคนไทยสองคนแรกในภาคเหนือคือหนานชัย กับน้อยสุริยะ ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยคำสั่งของเจ้ากาวิโรรส ผู้ครอบครองเชียงใหม่ขณะนั้น เพราะการยืนหยัดในความเชื่อที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูคริสต์ จากเหตุการณ์นี้ทำให้บรรดาผู้สนใจและผู้ที่กำลังเลื่อมใสในคริสต์ศาสนาเกิดความกลัว กระจัดกระจายหนีไป มิชชันนารีตกอยู่ในสภาพอันตรายและหวาดกลัว การเติบโตของคริสตจักรหยุดชะงักลงชั่วระยะหนึ่งจนถึงการเสียชีวิตของเจ้าเมือง ในปี ค.ศ.1870 สมาชิกค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนงานมิชชันนารี
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผลดีตามมาคือ คณะมิชชันนารีได้ลุกขึ้นอีกครั้ง กล้าเผชิญหน้ากับการขัดขวางโดยยื่นคำร้องต่อพระมหากษัตริย์กราบบังคมทูลขอเสรีภาพในการนับถือศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 ได้ทรงมีพระราชโองการ”ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา” ขึ้น (The Edict of religious Toleration) เมื่อปี 1878
หลังการบุกเบิกของมิชชันนารีใน 50 ปีแรก สมาชิกคริสตจักรทั้งหมดมีเพียง 600 คน อยู่ในคณะเพรสไบทีเรียน 300 คน ทางภาคใต้ (รวมเพชรบุรี 100 คน) และภาคเหนือที่เชียงใหม่มีอีก 150 คน คณะอเมริกันแบ๊บติสต์มีสมาชิกส่วนมากเป็นคนจีน 100 คน ในกรุงเทพฯ และมีสมาชิกเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีอีกประมาณ 50 คนในภาคเหนือ
ผู้นำที่มีอิทธิพลในยุคนี้คือ ท่านเอส. จี แมคฟาร์แลนด์,นายแพทย์ซามูเอล เฮาส์, ดร.ดาเนียล แมคกิลวารี,ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน,ศาสนาจารย์ดันแลป และมิชชันนารีอีกหลายสิบคนผู้นำสำคัญในการทำพันธกิจ ยังคงเป็นมิชชันนารีอีกหลายสิบคนผู้นำสำคัญในการทำพันธกิจ ยังคงเป็นมิชชันนารี ส่วนคนไทย คนจีน ที่กลับใจเป็นคริสเตียนยังไม่ได้ถูกฝึกให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เป็นผู้รับใช้ จะมีก็บางคนที่เป็นลูกมือ หรือลูกจ้าง คนงานของมิชชันนารีหรือพวกลูกบุญธรรมบางคนที่ได้รับการสนับสนุนจากมิชชันนารีในการทำงาน คริสเตียนชาวพื้นเมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนจีนมากกว่าคนไทย บทเรียนที่เห็นได้ชัดจากการทำงานของมิชชันนารีในฐานะผู้นำคือความกล้าหาญที่เอาชนะ ความกลัว อุปสรรค ปัญหา ความไม่ย่อท้อการต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ความไม่ยอมแพ้ ไม่ล้มเลิก เป็นผลให้คนไทยได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาจวบจนปัจจุบัน


สาม ยุคการขยายพันธกิจ (ค.ศ.1884-1940)
ช่วงนี้เป็นเวลาที่พันธกิจของคณะเพรสไบทีเรียนเจริญเติบโตมากโดยเฉพาะมิชชั่นลาวในภาคเหนือของประเทศไทย ปี ค.ศ. 1902 จำนวนคริสเตียนเพิ่มเป็น 2,929 คน ปี ค.ศ.1911 เพิ่มเป็น 4,000 กว่าคน ในปี ค.ศ.1913 มี คริสตจักรเพิ่มเป็น 26 แห่งและจำนวนสมาชิกเพิ่มเป็น 6,900 คน ขณะที่มิชชั่นสยามของคณะเพรสไบทีเรียนใน ปี ค.ศ.1902 มีจำนวนคริสเตียน 323 คน ในปี ค.ศ.1913 มีสมาชิก 622 คน และมีคริสตจักรจำนวน 13 แห่ง พันธกิจในช่วงนี้มีคณะมิชชั่นใหม่ ๆ เข้ามาทำการในประเทศไทยมากขึ้นเช่น ในปี ค.ศ. 1889 สมาคมพระคริสตธรรมสหรัฐอเมริกา ส่ง John Carington มาเป็นเลขาธิการหอพระคริสตธรรมไทยและลาวเพื่อจัดพิมพ์และแจกจ่ายพระคัมภีร์ ปัจจุบันคือสมาคมพระคริสตธรรมไทย (Thailand Bible Society) สาเหตุที่ทำให้งานประกาศเผยแพร่เจริญก้าวหน้าในยุคนี้เพราะพลังและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้นำฝ่ายวิญญาณจิตที่เข้มแข็งทุ่มเทเอาจริงเอาจังในงานรับใช้ ผู้นำที่มีอิทธิพลในยุคนี้คือ ท่าน ดร.ดาเนียล แมคกิลวารี, ศาสนาจารย์โจนาธาน วิลสัน,ศาสนาจารย์ยูจีน ดันแลป และมิชชันนารีอีกหลายสิบคน ดร.ดาเนียล แมคกิลวารี เป็นมิชชันนารีบุกเบิกในการประกาศและก่อตั้งคริสตจักร ท่านใช้ยุทธวิธีการประกาศแบบสัญจรเดินทางประกาศเทศนา สอนพระคัมภีร์ จัดตั้งศูนย์อบรมผู้นำท้องถิ่นตลอดหัวเมืองภาคเหนือของประเทศไทย ลาว พม่า และจีน ดร.เคนเนท แวลส์ กล่าวถึงท่านแมคกิลวารีว่า “ท่านเป็นมิชชันนารีที่ทำงานในประเทศไทยนานถึง 53 ปี ไม่มีมิชชันนารีคนใดทำงานนานเท่านี้”
ในตอนปลายของยุคนี้พันธกิจของคริสตจักรโปรเตสแตนท์มีความเข้มแข็งมาก แต่การเจริญเติบโตกลับหยุดนิ่งไม่เหมือนช่วงต้นยุค จากปี ค.ศ.1913 คริสเตียนคณะเพรสไบทีเรียนมีจำนวน 6,929 คน และในปี 1940 มี คริสเตียนราว 9,399 คนแสดงว่าระหว่าง ปี 1914-1940 มีคริสเตียนเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.7 ทั้ง ๆ มีผู้รับบัพติสมาใหม่ระหว่างนั้นทั้งหมด 16,132 คน สาเหตุที่ทำให้คริสตจักรหยุดชะงักการเจริญเติบโต อาจารย์Alex Smith ได้วิเคราะห์ว่ามีปัจจัยอยู่สองอย่าง คือปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายในคือ ปัญหาการเลี้ยงดูและขาดการเสริมสร้างสมาชิกด้วยพระวจนะพระเจ้า เพราะผู้นำทั้งหลายทั้งมิชชันนารีและผู้นำคนไทยหันไปสนใจงานองค์การมากกว่าการดูแลคริสตจักร เนื่องจากมิชชันนารีเปลี่ยนนโยบายหันมาเน้นการทำพันธกิจด้านการศึกษามากขึ้น โดยตั้งโรงเรียนของมิชชันนารีขึ้นหลายสิบแห่งจากตัวเลขของจำนวนโรงเรียนที่มิชชันนารีก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1911 มีโรงเรียนของมิชชั่น 37 แห่งและถึงปี ค.ศ.1938 จำนวนโรงเรียนเพิ่มถึง 65 แห่ง ดังนั้นโรงเรียนเหล่านี้จึงดึงเอาบุคลากรคริสตจักรไปเป็นจำนวนมาก นอกจากงานด้านการศึกษาแล้วคณะมิชชั่นยังได้ทุ่มเทงบประมาณมากมายสร้างโรงพยาบาลของมิชชั่นขึ้นซึ่งเป็นการเน้นพันธกิจด้านสังคมสงเคราะห์มากกว่าการทำพันธกิจด้านคริสตจักร ไม่ปรากฏว่ามีการทุ่มเทสร้างโรงเรียนฝึกผู้นำอย่างจริงจังในยุคนี้
ส่วนปัจจัยภายนอกมาจากกระบวนการชาตินิยมซึ่งมองว่ามิชชันนารีถือเป็นตัวแทนของอารยธรรมตะวันตกกระบวนการชาตินิยมจึงเกิดขึ้นประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นเวลาของเศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำ มิชชันนารีขาดเงินทุนสนับสนุน จึงมีผลกระทบต่อการทำพันธกิจในประเทศไทย
หลังจากมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนทำงานอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยมาครบศตวรรษในปี ค.ศ. 1930 มีการจัดตั้งสยามคริสต์สภา(Siam Christian Council)เป็นการรวบรวมกลุ่มพันธกิจต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งต่อมาคือ “สภาคริสตจักรในประเทศไทย” (ค.ศ.1934) นอกจากนี้ยังมีคณะมิชชั่นกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น เช่น คณะเซเว่นเดย์ แอ็ดแวนติส เริ่มงานปี ค.ศ.1918 โดยเน้นพันธกิจด้านการศึกษาและการแพทย์ทำงานกับชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ คณะChristian Missionary Alliance (CMA) เข้ามาปี ค.ศ.1929 ทำงานที่ภาคอีสานของประเทศไทย คณะนี้ได้ก่อตั้งสถาบันพระคริสตธรรมสองแห่งที่จังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ยังมีมิชชั่นนารีอิสระที่เข้ามาอีกบ้าง ทำให้มีคริสเตียน นอกเหนือจากคณะเพรสไบทีเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่า แต่การขาดแคลนผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณยังเป็นปัญหาของคริสตจักรไทย แม้มิชชันนารีจะมีการสร้างอบรมผู้นำท้องถิ่นให้ขึ้นมารับผิดชอบพันธกิจบ้างแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ พันธกิจใหม่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการประกาศ เป็นสิ่งที่ดีถ้าได้มีการเตรียมบุคลากรไว้รองรับสำหรับพันธกิจนั้น ๆ อย่างเพียงพอและน่าเสียดายที่ผู้รับใช้ในคริสตจักร ศิษยาภิบาลต้องถอนตัวจากคริสตจักรไปรับใช้ในองค์การ สถาบัน หรืองานด้านสงเคราะห์ ทำให้การขยายคริสตจักรในปลายยุคนี้ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร

สี่ ยุคยืนหยัดและรื้อฟื้นพันธกิจ (ค.ศ.1941-1980)
ระหว่างปี 1938-1939 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพคริสตจักรไทยอยู่ในช่วงซบเซาดังที่ได้กล่าวแล้วพระเจ้าทรงให้มีการฟื้นฟูจิตวิญญาณคริสตจักรที่กำลังร่วงโรยและอ่อนกำลังลงโดยการฟื้นฟูของ ดร.จอห์น ซง นักเทศน์นักประกาศชาวจีนในระหว่าง 2 ปีนี้ มีคริสเตียนตามบรรพบุรุษได้กลับใจบังเกิดใหม่มากมาย พวกที่หลงหายกลับเข้ามาถูกสร้างใหม่อีกครั้ง ดูเหมือนเป็นการเตรียมชีวิตคริสเตียนเหล่านี้ ให้เข้มแข็งก่อนการเผชิญหน้ากับสงครามที่จะเกิดขึ้นในปีถัดมา การยึดครองของญี่ปุ่นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 โดยการบังคับขู่เข็ญเป็นเหตุให้คริสเตียนจำนวนมากมายได้หันกลับไปนับถือศาสนาเดิม คริสเตียนหลายร้อยคนที่เป็นครูและเป็นข้าราชการ ได้ปฏิเสธความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และยังมีศาสนาจารย์บางคนได้ปฏิเสธการติดตามพระเจ้าในเวลาแห่งความยากลำบาก ผู้ประกาศมิชชันนารีบางคนถูกเจ้าหน้าที่จับขังคุกและถูกริบทรัพย์สิน การกดขี่ข่มเหง ช่วงญี่ปุ่นเข้ายึดครองจำนวนคริสเตียนเหลือต่ำกว่า 6,000คน แต่ก็มีผู้นำบางคนเลือกยืนอยู่ฝ่ายพระคริสต์ แม้ถูกจับติดคุกรับความทุกข์ทรมานก็ไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูคริสต์
การที่ผู้เชื่อจำนวนมากมายได้ปฏิเสธความเชื่อในพระเจ้า มีเหตุผลจากภายในที่เป็นข้อคิดสำหรับคริสตชนรุ่นหลังคือ ช่วงก่อนหน้านี้คริสตจักรขาดผู้เลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณ ศิษยาภิบาล มิชชันนารีได้ละทิ้งงานคริสตจักรไปทำงานโรงเรียนและโรงพยาบาลเป็นเหตุให้คริสตสมาชิกขาดความรู้ในพระวจนะพระเจ้า สถาบันพระคริสตธรรมควรสอนหลักข้อเชื่อ การวางใจในพระเจ้า และการยืนหยัดเพื่อพระเจ้าให้กับนักศึกษาและคริสตจักรควรสอนคริสตสมาชิกให้เข้มแข็งในความเชื่อเพื่อพวกเขาจะมีจิตสำนึกที่เข้มแข็งและมั่นคง เมื่อเขาเผชิญความทุกข์ยาก เขาจะไม่ปฏิเสธความเชื่อ
ระหว่างสงคราม คริสตจักรหยุดชะงักการเจริญเติบโตดังที่ได้กล่าวแล้ว แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลงคริสตจักรเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง มีปัจจัยสองด้านที่ทำให้คริสตจักรรับการรื้อฟื้นคือ ปัจจัยที่มาจากภายใน โดยผู้นำคริสเตียนไทยที่กล้าหาญหลายคน เช่น อาจารย์บุญมาก กิตติสาร อาจารย์พ่วง อรรฆภิญญ์ และอาจารยสุข พงศ์น้อย เป็นต้น เริ่มออกเยี่ยมเยียนและหนุนใจผู้เชื่อและคริสเตียนที่กระจัดกระจาย เริ่มมีการศึกษาพระคัมภีร์สั่งสอนหลักข้อเชื่อและการดำเนินชีวิต ทำให้หลายคนกลับมาหาพระเจ้า ผู้นำคริสเตียนหลายคนสารภาพบาปกลับใจใหม่สู่ความเชื่ออีกครั้ง คริสตจักรหลายแห่งได้รับการฟื้นฟู โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศไทยคริสเตียนหลายคนถวายตัวรับใช้พระเจ้า ออกไปเป็นพยานประกาศแก่เพื่อนบ้าน ผลปรากฏว่า ในปี ค.ศ.1947 สภาคริสตจักรในประเทศไทย มีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 11,756 คน นี่เป็นความก้าวหน้าโดยแรงกระตุ้นจากภายในของคนไทยเพราะระหว่างสงครามมิชชันนารีเดินทางกลับประเทศของตนเกือบหมด ปัจจัยภายนอกที่มีส่วนทำให้คริสตจักรไทยรับการกระตุ้นคืน การกลับมาของมิชชันนารีบางคณะและองค์การพันธกิจต่าง ๆ ได้หลั่งไหลเข้ามาเสริมกำลังคริสเตียนไทย ประกอบกับการปิดประเทศของจีนทำให้องค์กรมิชชันนารีหลั่งไหลเข้ามาประเทศไทยเป็นอันมาก ระหว่างปี ค.ศ.1940-1980 มีองค์การมิชชั่นใหม่ ๆ ถึง 37 องค์กรเข้ามา อาทิเช่น
Thailand Southern Baptist Mission 1948 ,
American Baptist Mission (reentered)1952 ,
Marburger Mission 1953 ,
Presbyterian Church in Korea (K.I.M.) 1956 ,
Pentecostchurch of Norway 1940,
Worldwide Evangelistic Crusade 1947 ,
Finninsh Free Foreign Mission 1948 ,
American church of Christ Mission to Thailand 1949,
Oversea Missionary Fellowship 1951,
New Tribes Mission 1951,
Thailand Child Evangelism Fellowship 1951,
Pentecost Assemblies of Canada 1960,
American Assemblies of God 1968,
Far East Broadcasting Company 1969
ในปี ค.ศ. 1969 หัวหน้าคณะมิชชันนารีองค์กรต่าง ๆ เหล่านี้ซึ่งมิได้สังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทยได้ร่วมมือกันกับคณะผู้นำคริสตจักรไทยตั้งองค์กร”สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย”(The Evangelical Fellowship of Thailand) ขึ้นและได้จดทะเบียนกับกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การรับรองสิทธิทางกฎหมายและวีซ่าเข้าประเทศแก่มิชชันนารี ประธานคนแรกของสหกิจฯ คือ ศาสนาจารย์สุข พงษ์น้อย สำหรับองค์กรมิชชันนารีใหม่ที่เข้ามาภายหลัง ส่วนใหญ่จดทะเบียนอยู่ภายใต้องค์การนี้
ในปี ค.ศ.1970 เกิดการเคลื่อนไหวฝ่ายวิญญาณจิต เป็นครั้งแรกที่ผู้นำคริสตจักรไทยและมิชชันนารีประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนการประกาศพระกิตติคุณในประเทศไทยภายใต้ชื่อการประชุมคองเกรส ครั้งที่ 1 ที่สวางคนิวาส จังหวัดสมุทรปราการ มีผู้แทนเข้าร่วม 245 คน ปีต่อมา ค.ศ.1971 ได้กำเนิดคณะกรรมการเพิ่มพูนคริสตจักรแห่งประเทศไทย (TCGC) ขึ้น เพื่อการจัดอบรมสัมมนาส่งเสริมการประกาศ การก่อตั้งคริสตจักรและการอบรมผู้นำคริสตจักรทั้วประเทศไทย ได้ส่งเสริมให้มีการสัมมนาใหญ่ ๆ หลายครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เช่น ปี ค.ศ.1971 สัมมนาโดย Dr.Donald Mc Gavran ปี ค.ศ.1976 โดย G.D.James, ปี 1978 โดย J.Oswald Sanders,และปี 1979 โดย Philip Teng เป็นต้น
ปี 1978 คริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย จัดงานฉลองครบรอบ 150 ปีขึ้นที่กรุงเทพฯ สถิติจำนวนคริสเตียนเพิ่มขี้นเป็น 58,953 คน เปรียบเทียบเป็น 0.13% ของประชากรไทยมีคริสตจักรจำนวน 627 แห่งและกลุ่มคริสเตียนอีกประมาณ 560 แห่ง ผู้นำคริสตจักรทำหน้าที่อภิบาลดูแลคริสตจักรจำนวน 446 คนและมิชชันนารีจากต่างประเทศจำนวน 967 คน

ห้า พันธกิจคริสตจักรยุคใหม่ (หลังฉลอง 150 ปี คริสตจักรโปรเตสแตนท์)
หลังปี ค.ศ.1978 เป็นต้นมาพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทยมีการตื่นตัวและขยายออกไปอย่างกว้างขวางนับแต่การเข้ามาของคริสตจักรคณะแพนเตคอส และคาริสเมติกที่มีการนมัสการแบบเร้าใจ เน้นฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ การร่วมมือกันของคริสเตียนต่างคณะนิกายในการทำพันธกิจ การใช้วัสดุอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือทำพันธกิจ การเชื่อมโยงกับพันธกิจอื่น ๆ ทั่วโลกเป็นเหตุให้คริสตจักรเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจำนวนคริสเตียน องค์การ สถาบัน หน่วยงานส่งเสริมการประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐ งานด้านสาธารณะสุขและงานสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิคริสเตียนบริการ ศูนย์อบรมพระคริสตธรรม สถาบันศาสนศาสตร์เกิดขึ้นมากมาย
ปี ค.ศ.1998 คริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทยมีการเจริญเติบโตขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติปี ค.ศ.1978 ตัวเลขจำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศไทย รวมทั้งคาทอลิกมีจำนวน 991,600 คน หรือประมาณ 1.6% ของจำนวนประชากร (สถิติ ปี 2542)
( 1 ) การเคลื่อนไหวของกลุ่มเพนเตคอสและคาริสเมติก คริสตจักรที่เจริญเติบโตในปัจจุบันส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคณะเพนเตคอสและคาริสเมติก อาทิเช่น คริสตจักรในกลุ่มคริสเตียนสัมพันธ์ (Assemblies of God) ภายใต้การนำของ ศจ.ดร.วีรชัย โกแวร์ มีคริสตจักรร่มเย็นเป็นคริสตจักรแม่มีสมาชิกกว่า 800 คน มีคริสตจักรลูกในเครือพันธกิจร่มเย็นและภายใต้คริสเตียนสัมพันธ์รวมกว่า 100 แห่ง
คริสตจักรคณะเพนเตคอสในกลุ่มพระกิตติคุณสมบูรณ์มี 3 คณะด้วยกัน คือ คณะ FFFM ทำงานในเขต ภาคเหนือและบางส่วนของภาคอีสาน ส่วนกลุ่มสแกนดิเนเวียน ทำพันธกิจในภาคใต้ และคณะเพ็นเตคอส ออฟ แคนนาดา ทำในกรุงเทพฯ ได้ก่อตั้งคริสตจักรใจสมานต่อมาพันธกิจขยายไปหลายที่ ปัจจุบันคริสตจักรแห่งนี้มีสมาชิกกว่า 1,500 คน และมีคริสตจักรในเครืออีกกว่า 100 แห่ง
ปี ค.ศ.1979 ศาสนาจารย์วัลย์ เพชรสงคราม นักประกาศนักฟื้นฟูอดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเรียนคริสต์ศาสนาศาสต์แบ๊บติสต์ ได้ก่อตั้งคริสตจักรร่มเกล้าในแนวคาริสเมติก คริสตจักรเจริญเติบโตเร็วภายใน 8 ปี มีสมาชิกกว่า 1,000 คน ปี ค.ศ.2000 มีคริสตจักรลูกอีกหลายสิบแห่ง
ปี ค.ศ.1982 คริสตจักรความหวังกรุงเทพ แนวคาริสเมติกได้ก่อตั้งขึ้นด้วยสมาชิก 17 คนด้วยบุคลิกการเป็นนักเทศน์เร้าใจและอรรถาธิบายพระคัมภีร์ของผู้ก่อตั้ง เน้นการนมัสการในรูปแบบคาริสเมติกด้วยอุดมการณ์ที่จริงจัง ก่อตั้งคริสตจักร ในทุกอำเภอของประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมีองค์กรมิชชันนารีใหม่ ๆ เข้ามาทำการทั้งมีสังกัด และไม่มีสังกัด คริสตจักรอิสระเกิดขึ้นมากมายด้วยเช่นกัน
อิทธิพลของการนมัสการร่วมสมัยในรูปแบบการนมัสการด้วยบทเพลงสั้น การใช้ดนตรีสากลด้วยท่วงทำนองที่เร้าใจ และการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่มาประกอบการนมัสการพระเจ้าจากคริสตจักรกลุ่มคาริสเมติก เพนเตคอสได้แพร่หลายไปในคริสตจักรกลุ่มอื่น ๆ แม้คริสตจักรในกลุ่มเพรสไบทีเรียน หรือแบ๊บติสต์บางแห่งได้ยอมรับวิธีการและรูปแบบไปใช้ในคริสตจักรของตน
(2) พลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังการฉลองครบรอบ 150 ปี คริสตจักรไทยในฝ่ายโปรเตสแตนท์ (ค.ศ.1828-1978) การทำพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทยมีการร่วมมือกันค่อนข้างดี ในการประชุมเพื่อการประกาศพระกิตติคุณทั่วไทยหรือคองเกรส ครั้งที่ 3 ปี ค.ศ.1988 หัวข้อ “สร้างสาวกทั่วไทย” มีการรวมตัวกันจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานคริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย ” หรือเรียกว่า “กปท”(Thailand Protestant Churches Coordinating Committee)หรือ (TPCCC) ขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นความร่วมมือขององค์การคริสเตียน 3 องค์กร คือ สภาคริสตจักรในประเทศไทย (CCT) สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (EFT ) และสหคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทย( TBCA) ทั้งสามเป็นองค์กรจดทะเบียนภายใต้กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันกรมการศาสนาย้ายไปสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) โดยมีวัตถุประสงค์คือการประสานงานและส่งเสริมการทำพันธกิจร่วมกัน ทุก ๆ 5 ปีจะจัดให้มีการพบปะเพื่อการประกาศพระกิตติคุณทั่วประเทศไทย ซื่งจัดมาแล้ว 6 ครั้ง ปี 2009 จะจัดเป็นครั้งที่ 7 เดือนพฤษภาคม คาดว่าจะมีผู้มาร่วมงานกว่า 2,000 คน คณะกรรมการกปท.มีเป้าหมายร่วมกันรณรงค์ ประกาศพระคริสต์ทั่วไทย โดยหวังว่ามี 2010 จะมีคริสตจักรตั้งขึ้นในทุกอำเภอ ทุกตำบลมีกลุ่มคริสเตียนและทุกหมู่บ้านได้ยินข่าวประเสริฐของพระคริสต์

ขอสรุปพันธกิจขององค์กรหลักในปัจจุบันมีดังนี้
(ก) สภาคริสตจักรในประเทศไทย เป็นองค์กรใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ขณะนี้พันธกิจภาจใต้องค์กรนี้ขยายแบบช้า ๆ แต่มั่นคง สภาคริสตจักรแบ่งการปกครองแบ่งเป็น 19 ภาค มีหน่วยงานพันธกิจสถาบันศาสนศาสตร์สำหรับการอบรมศิษยาภิบาล และผู้นำ 3 แห่ง โรงเรียนคริสเตียน 30 แห่ง วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย 3แห่ง โรงพยาบาลคริสเตียน 7 แห่ง ปัจจุบันสภาคริสตจักรมีสมาชิก 170,218 คน คริสตจักรรวม 844 แห่ง ปัจจุบันมี ศจ.วิรัช โกยดุลย์ เป็นประธานกรรมการ
(ข) สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย เป็นองค์การที่มีความหลากหลาย มีคณะมิชชันนารีต่างประเทศ 40 องค์กร ด้วยจำนวนมิชชันนารีมากถึง 825 คน มีองค์กรย่อย หน่วยงาน สถาบันในสังกัดรวม 170 แห่ง คริสตจักรทั่วประเทศและสถานประกาศ 1,400 แห่ง สถาบันพระคริสตธรรมทุกระดับจำนวน 49 แห่ง คริสตสมาชิกในสังกัดถ้ารวมสมาชิกที่เป็นเด็กและเยาวชนด้วยควรจะมี 156,455 คน ปัจจุบันมี ศจ.ดร.มาโนช แจ้งมุขเป็นประธานกรรมการ
(ค) สหคิสตจักรแบ๊บติสต์แห่งประเทศไทย เป็นองค์กรย่อยทางศาสนาคริสต์ในสังกัดกรมการศาสนา เป็นองค์กรที่เริ่มพันธกิจในประเทศไทยโดยมิชชันนารีคณะ Southern Baptist ปัจจุบันมีสถาบันศาสนศาสตร์ 1 แห่ง โรงพยาบาลคริสเตียน 1 แห่ง คริสตจักร 92 แห่ง คริสตสมาชิกจำนวน10,000 คน ปัจจุบัน อจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ เป็นประธานกรรมการ
(ง)มูลนิธิคริสตจักรวันเสาร์แห่งประเทศไทย (Seventh – Day Adventists) เป็นองค์กรย่อยของทางศาสนาคริสต์สังกัดกรมการศาสนาเช่นกัน ปัจจุบันมีคริสตจักรจำนวน 95 แห่ง คริสตสมาชิก 12,000 คน โรงพยาบาล 3 แห่ง โรงเรียน 12 แห่ง สถาบันอบรมศาสนศาสตร์ 1 แห่ง ปัจจุบัน ศจ.สมชัย ชื่นจิตร เป็นประธานกรรมการ

สรุปบทเรียน
ขอบคุณพระเจ้าตลอดระยะเวลา 180 ปี (คศ.1828-2008) แห่งการทำพันธกิจของพระเจ้าในประเทศไทยของคณะมิชชันนารี และคริสตจักรโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย อาจจะดูว่าเกิดผลน้อยหากมองกันที่ตัวเลขของผู้นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศไทย หรือเปรียบเทียบกับการประกาศข่าวประเสริฐในประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลี อย่างไรก็ตามเมื่อเรามองย้อนหลังประวัติศาสตร์คริสตจักรไทย มีองค์ประกอบและข้อคิดมากมายที่คริสตชนรุ่นหลัง มิชชันนารีรุ่นใหม่ผู้รับใช้พระเจ้า นักศึกษาพระคริสตธรรมจะนำมาเป็นบทเรียน และเป็นแบบในการทำ พันธกิจของพระเจ้าในปัจจุบันและอนาคต
(1) ภาระใจต่อจิตวิญญาณที่หลงหาย คณะมิชชันนารีตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักรไทยส่วนใหญ่มาทำพันธกิจด้วย นิมิตและภาระใจเพื่อให้คนไทยได้รับข่าวประเสริฐ และรับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ พวกเขามีทั้งความรักและความหวังใจแม้ว่าเกือบ 30 ปีแรกกับการประกาศในแผ่นดินนี้จะไม่มีใครตอบสนอง และกลับใจก็ตาม พวกเราคนรุ่นใหม่ต้องช่วยกันสร้างและสอนผู้เชื่อให้มีนิมิตและภาระใจ รักห่วงใยจิตวิญญาณที่หลงหาย คริสตจักรและศิษยาภิบาลต้องหนุนใจสมาชิกให้มีใจรัก และร้อนรนในการนำวิญญาณเหมือนมิชชันนารีรุ่นแรกๆ
(2) คณะมิชชันนารีและผู้ร่วมงานทั้งหลายส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่าง ๆ เพราะเมื่อมาทำการพวกเขาเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคมความรู้ด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ภาษาอังกฤษ ด้านครู เป็นเครื่องนำทางสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ จะเห็นได้จากการสร้างโรยพยาบาลและโรงเรียนคริสเตียนของคณะมิชชั่น ซึ่งเป็นมรดก เป็นพระพรสำหรับหน่วยงานคริสเตียนในปัจจุบันขอบคุณพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีคริสเตียนไทยมากมายที่มีความรู้ ความสามารถ ระดับการศึกษาสมัยสูง มีเกียรติในสังคม หากยอมถวายตัวให้พระเจ้าใช้จะมีอิทธิพลต่อสังคมมาก สังเกตได้จากสถาบันพระคริสตธรรมปัจจุบันมีนักศึกษาระดับปริญญาโทเข้าศึกษามากขึ้น มีนักศึกษาที่จบการศึกษาจากวิชาชีพต่าง ๆ มากขึ้น เราควรหนุนใจให้คนเหล่านี้นำวิชาชีพไปใช้ควบคู่กับการรับใช้พระเจ้า บางคนอาจรู้สึกเสียดายที่ทิ้งวิชาชีพของตน มาเรียนศาสนศาสตร์และรับใช้พระเจ้า ปัจจุบันสตรีจำนวนมากถวายตัวรับใช้พระเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แท้จริงไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง สามารถร่วมรับใช้พระเจ้าได้ดีเช่นกันในสมัยรัชกาลที่3-4มิชชันนารีเข้ามาทำการในประเทศไทยจำนวน 85 คน เป็นชาย 42 คนเป็นหญิง 43 คนซึ่ง 39 คนเป็นภรรยาของมิชชันนารี อีก 4 คน เป็นคนโสด หรือแต่งงานกับมิชชันนารีภายหลัง
(3) ดูเหมือนว่าที่คณะมิชชันนารีผู้ทำการรุ่นก่อน ๆ ทำงานด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกผู้นำคนไทยในท้องถิ่น ให้เป็นผู้ร่วมงานหรือมอบหมายให้รับผิดชอบ ดังคำกล่าวของ ดร. ดาเนียล แมคกิลวารี ที่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของพวกมิชชันนารีที่ไม่ได้ฝึกผู้นำท่านกล่าวว่า “เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดที่ต้องสารภาพคือพวกมิชชันนารีทำงานด้วยตัวเองมากเกินไปจึงไม่ได้ฝึกคนอื่นให้ช่วยรับผิดชอบ” แต่ก็ยังขอขอบคุณมิชชันนารีที่ได้มาประกาศในประเทศไทย แม้ในปัจจุบันมีมิชชันนารีเกือบ 1,500 คน ที่ทำการอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ การอบรมผู้นำสำหรับคนไทยจึงมีความจำเป็นมาก เพราะมิชชันนารีถูกจำกัดสิทธิและขอบเขตในการทำงาน และเคยมีนโยบายจากรัฐบาลที่จะลดจำนวนลงปีละ 10% การอบรมผู้นำระดับสูงทดแทนงานมิชชันนารีเป็นเรื่องจำเป็นในเรื่องนี้อาจารย์ทัง มิชชันนารีคณะ OMF ได้เขียนไว้ในบทสรุปวิทยานิพนธ์ของเขาว่า “มิชชันนารีไม่สมควรที่จะลงมือทำงานด้วนตัวของเขาเองเท่านั้น แต่สมควรที่จะสร้างผู้อื่นให้ทำงานร่วมกับเขาและแทนเขาโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในคริสตจักรควรพัฒนาเขา จนเขาได้พัฒนาคนอื่น ๆ ต่อไป”
George Santayana กล่าวว่า “ผู้ไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็มักทำผิดซ้ำรอยเดิม”เหมือนภาษิตไทยว่า “ประวิตศาสตร์ซ้ำรอย”ถึงเวลาแห่งความร่วมมือกันของคริสตจักรไทยทุกคณะ ทุกนิกาย ต้องร่วมมือกัน 180 ปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่น่าขอบคุณพระเจ้า และน่าศึกษาอย่าให้เราเป็นเพียงผู้ศึกษาประวัติศาสตร์แต่ให้เรามาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ที่คริสตจักรเจริญก้าวหน้าทั้งด้านปริมาณและคุณภาพชีวิต