ที่มา เว็บไซต์ http://www.thaisermons.com
คริสเตียนมีเทศกาลใหญ่ๆอยู่สองเทศกาลคือ เทศกาลคริสตมาส และเทศกาลอีสเตอร์ แต่คนส่วนมากจะรู้จักเทศกาลคริสตมาส เพราะมีการเฉลิมฉลองที่สนุกสนานตื่นเต้น ส่วนเทศกาลอีสเตอร์พวกเขาบอกว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้ามากไป
โดยปกติคนจะฉลองวันเกิด ไม่ฉลองวันตาย แต่สำหรับเทศกาลอีสเตอร์นั้นเป็นการฉลองที่พระเยซูเสด็จออกมาจากหลุมฝังศพ เป็นการฟื้นคืนพระชนม์ซึ่งแสดงชัยชนะต่อความตายและผีมารซาตาน และประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง อีสเตอร์ (Easter, Easter Day, Easter Sunday) ซึ่งมักจะตรงกันวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี
เทศกาลฟื้นคืนพระชนม์
ยอห์น 19:38-42 เป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่โทษบาปของมวลมนุษย์ พระศพถูกนำเอาไปฝังไว้ในอุโมงค์ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ จนกระทั่งถึงเช้าวันอาทิตย์ แล้วพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา ยอห์น 20:9 พวกสาวกของพระเยซูไม่เข้าใจคำที่เขียนไว้ว่า “ข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์ต้องฟื้นขึ้นจากความตาย มารีย์คิดว่าพระเยซูตายแล้วตายลับ (ข้อ 11-12) เหมือนความคิดของคนไทยที่บอกถึงการตายว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”
ประการแรก มารีย์คิดว่าพระเยซูตายและไม่พื้น เพราะเธอได้ร้องไห้อย่างมากมาย
ประการที่สอง เธอก้มมองลงไปที่อุโมงค์ฝังพระศพด้วยความหมดหวัง และประการสุดท้าย เธอมีสายตาฝ้าฟางและมองเห็นไปว่า พระเยซูทรงเป็นเพียงคนทำสวน
บทเรียน :
1.พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ มิใช่เป็นพระเจ้าที่ตายแล้ว
2. ในโลกนี้มีศาสนาและศาสดามากมาย มีคำสอนดีๆล้วนน่ายกย่องและปฏิบัติ แต่ศาสดาเหล่านั้นได้ตายไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่คำสอนที่ขาดฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถประพฤติและปฏิบัติตามได้
3. พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ดังนั้น คนเป็นเท่านั้นที่สามารถช่วยคนเป็นได้ คนตายไปแล้วจะช่วยเหลือใครไม่ได้เลย (แม้แต่ตัวเอง)
เทศกาลแห่งความยินดี
ยอห์น 20:20 “เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็มีความยินดี” โดยปกติสิ่งที่เรามีอยู่ไม่ค่อยมองเห็นคุณค่า จนกว่าจะสูงเสียมันไป พวกสาวกก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเพิ่งจะเห็นคุณค่าของการสูญเสีย เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ จะเห็นว่าพวกเขาร้องไห้ โศกเศร้า หวาดกลัวและหมดหวัง
แต่เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เสียงร้องไห้กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะ ความโศกเศร้ากลายเป็นเรื่องของความชื่นชมยินดี ความมืดมิดฝ่ายวิญญาณกลายเป็นความสว่างไสว และความสิ้นหวังก็กลับมาเป็นความหวัง
“ความชื่นชมยินดี" ในภาษากรีก คือ chairo ในพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานแปลคำนี้ว่า overjoyed ซึ่งไม่ใช่ความยินดีแบบธรรมดาๆ แต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ปลาบปลื้มอย่างเหลือพรรณนาได้
ข้อคิด :
ประการแรก ผู้เชื่อควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อเทศกาลอีสเตอร์
ประการที่สอง ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆแล้ว จงสังเกตดูที่ใบหน้าของพวกคริสเตียน
ท่าทีต่ออีสเตอร์
(1) การเสาะแสวงหา
“นางก็วิ่งไป” (ยน. 20:2) “เขาทั้งสองก็วิ่งไป...แต่คนนั้นวิ่งไวกว่า” (ยน. 20:4) คำถามก็คือพวกเขาวิ่งไปไหนกัน? พระคัมภีร์บอกว่าพวกสาวกพากันวิ่งไปที่อุโมงค์ฝังศพเพื่อจะนมัสการพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในทำนองเดียวกัน อีสเตอร์นี้ขอพระเจ้าทรงช่วยพวกเราคริสเตียนทั้งหลายให้มีความกระตือรือร้นที่จะเสาะแสวงหาพระเยซูและนมัสการพระองค์ อาจารย์เปาโลบอกว่า ข้าพเจ้าโน้มตัวออกไปข้างหน้า เพื่อจะได้พระเยซู (ฟป. 3:13) ผู้เขียนฮีบรูกล่าวว่า ให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายามหมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ (ฮบ 12:1-2)
(2) บอกข่าวดี
“มารีย์ก็วิ่งออกไปบอกข่าวการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์แก่คนอื่นๆ” (ยน. ๒๐.๑๘) และเธอได้ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” เธอได้เล่าเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นให้แก่คนอื่นๆฟัง
บทเรียน :
-เทศกาลอีสเตอร์เป็นช่วงเวลาที่เราคริสเตียนจะประกาศข่าวดีให้แก่คนอื่นๆได้ทราบ
-ขอให้ตระหนักว่า พระเจ้าทรงใช้พระเยซูมาฉันใด พระเยซูก็จะทรงใช้เราไปฉันนั้น (ยน. 20:21)
สรุป
อีสเตอร์เป็นเทศกาลฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เป็นเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดี
เป็นเทศกาลแห่งการเสาะแสวงหาและนมัสการพระเจ้า อีสเตอร์เป็นเทศกาลแห่งการประกาศข่าวประเสริฐ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น